เมื่อวันที่ 14 เม.ย. บีบีซีรายงานว่า กองทัพสหรัฐอเมริกา และชาติพันธมิตร ได้แก่ อังกฤษ และฝรั่งเศส เปิดปฏิบัติการทางทหารโจมตีเป้าหมายที่คาดว่าเป็นคลังเก็บอาวุธเคมีของกองทัพซีเรีย ในประเทศซีเรียแล้ว แม้ที่ผ่านมา ทางการรัสเซีย ซึ่งเป็นพันธมิตรของซีเรียขู่ว่าอาจก่อให้เกิดสงครามครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐกับรัสเซียก็ตาม

ขณะที่นายอันโตนิโอ กูร์เตเรส เลขาธิการสหประชาชาติ หรือยูเอ็น ระบุว่า สงครามเย็นกลับมาแล้วด้วยความคลั่งแค้น และกลไกของยูเอ็นที่มีเพื่อใช้ป้องกันสงครามซึ่งเคยมีอยู่ในอดีต ไม่มีอยู่อีกต่อไป

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ นางเธเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และประธานาธิบดีเอมมานูแอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส เห็นพ้องต่อภารกิจตอบโต้การใช้อาวุธเคมีโจมตีต่อพลเรือนในเมืองดูมา แคว้นกูตาตะวันออก มีผู้เสียชีวิตกว่า 70 ราย บาดเจ็บจำนวนมาก ในจำนวนนี้ มีผู้มีอาการว่าโดนแก๊สคลอรีนกว่า 500 คน ซึ่งยืนยันแล้วจากคณะผู้เชี่ยวชาญหน่วยงานกลางที่เพิ่งลงพื้นที่ แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นฝีมือของฝ่ายใด แต่ทางการสหรัฐและชาติพันธมิตร ระบุว่า ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย อยู่เบื้องหลังการโจมตี ก่อให้เกิดการถกเถียงและโทษกันไปมาอย่างดุเดือด

นายกูร์เตเรส กล่าวว่า “สงครามเย็นกลับมาแล้วด้วยความคลั่งแค้น ท่ามกลางความความแตกแยก” และว่า “กลไกและระเบียบที่มีไว้บริหารความเสี่ยงเพื่อป้องกันพัฒนาการไปสู่สงครามที่เคยมีในอดีต ไม่มีอยู่ในตอนนี้อีกต่อไป”

คำกล่าวของเลขาธิการยูเอ็นมีขึ้นท่ามกลางบรรยากาศแตกหักระหว่างสหรัฐกับรัสเซียในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอสซี ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หลังนายวาสซิลี นีเบ็นเซีย เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำยูเอ็นขอให้เปิดประชุมอีกครั้งเพื่อหาข้อยุติและหลีกเลี่ยงปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐและชาติตะวันตกต่อซีเรีย พร้อม เปิดเผยหลักฐานที่อ้างว่าการโจมตีด้วยอาวุธเคมีนั้นเป็นฝีมือของสายลับอังกฤษ แต่หลักฐานดังกล่าวโดนโจมตีจากฝ่ายอังกฤษว่า เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพล ขณะที่ฝ่ายสหรัฐและฝรั่งเศส ระบุว่า มีหลักฐานว่าการโจมตีดังกล่าวเป็นฝีมือของทางการซีเรีย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน