เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 14 พ.ย. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วย พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินเป็นวันที่ 32 ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร เป็นพระพุทธรูปประทับยืนแบบสมภังค์แสดงปางห้ามญาติ หรืออภัยมุทราด้วยพระหัตถ์ขวาเพียงข้างเดียว ที่หน้าพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร พระพิธีธรรม โดยมี ม.จ.นวพรรษ ยุคล ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ม.ร.ว.จักรรถ จิตรพงศ์ และม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ถวายภัตตาหารแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร และวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมมาตั้งแต่คืนวันที่ 13 พ.ย.

s__14606554

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นวันที่ 17 ที่มีพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ได้ตั้งแต่เวลา 08.00-21.00 น. (ยกเว้นช่วงมีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท) โดยมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาเฝ้ารอต่อคิว เพื่อเข้าถวายบังคมพระบรมศพตั้งแต่เช้ามืด ซึ่งเจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรีอย่างเป็นระเบียบ ในเวลา 05.00 น. จากนั้นเปลี่ยนทางเข้าเป็นทางประตูมณีนพรัตน์ ถนนหน้าพระลาน ในเวลา 08.30 น. เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดารามเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี

vek_4619

ทั้งนี้ พสกนิกรที่มากราบสักการะพระบรมศพทุกคน ยังคงอยู่ในความโศกเศร้าเสียใจ หลายคนกอดพระบรมฉายาลักษณ์ที่นำมาจากบ้านไว้แนบอกตลอดเวลา และเมื่อได้เข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพแล้ว สำนักพระราชวังแจกภาพพระบรมโกศพระบรมศพ พิมพ์ 4 สี ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย

s__14606553

เวลา 07.30 น. สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 13 พ.ย. หลังสำนักพระราชวังปิดไม่ให้ประชาชนเข้ามาภายในพื้นที่พระบรมมหาราชวัง เพื่อขึ้นถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เมื่อเวลา 21.00 น. โดยมีจำนวนประชาชนที่เข้า ถวายบังคมพระบรมศพจำนวน 33,928 คน รวม 16 วัน ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.-13 พ.ย.2559 รวมทั้งสิ้น 470,319 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระกุศลเป็นเงิน 2,238,997.25 บาท รวม 16 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 31,491,776.25 บาท

s__14606552

นางขวัญฤดี วงค์สุบรรณ อายุ 51 ปี ชาว อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมด้วยสมาชิกองค์กรพัฒนาสตรี และผู้สูงอายุ กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเทพรัตนราชดุดาฯ สยามบรมราขกุมารี เคยเสด็จฯไปทรงเปิดเขื่อนรัชชประภา และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2530 รู้สึกดีใจมากที่พระองค์ท่านเสด็จไปช่วยเหลือราษฏร เพราะน้ำคือชีวิตของทุกคน ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ โดยที่ผ่านมาชาวสุราษฎร์ธานีได้ร่วมใจกันจัดกิจกรรมเพื่อพ่อมาโดยตลอด รวมถึงได้เตรียมจัดกิจกรรมวันที่ 5 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันพ่อ ถึงแม้วันนี้พระองค์ท่านเสด็จสวรรคตแล้ว พวกเราก็รู้สึกเสียใจมากที่สุดของที่สุด โดยพวกเราก็จะน้อมนำหลักคำสอนของพระองค์มาปฏิบัติ ทั้งหลักเศรษฐกิจพอเพียง การทำความดีรู้รักสามัคคีเพื่อพ่อ

สมาชิกองค์กรพัฒนาสตรี และผู้สูงอายุ จ.สุราษฎร์ธานี

สมาชิกองค์กรพัฒนาสตรี และผู้สูงอายุ จ.สุราษฎร์ธานี

ด้าน นางยุพิน สูตรใจ อายุ 47 ปี ชาว ต.คลองไผ่ อ.สี่คิ้ว จ.นครราชสีมา กล่าวว่า ตนเดินทางมาทำงานเป็นพนักงานในบริษัทเอกชน ย่านรังสิต กทม. กว่า 20 ปีแล้ว ยังไม่เคยรับเสด็จฯพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เลยแม้แต่ครั้งเดียว ได้เห็นแต่ในรูปและในทีวี เห็นแต่พระองค์ท่านไปเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร ยิ่งเวลาเห็นท่านปาดเหงื่อแล้วตนจะน้ำตาไหลทุกครั้ง รู้สึกปลาบปลื้มใจที่พระองค์ท่านช่วยเหลือราษฎรในทุกๆ เรื่อง ไม่อยากให้พระองค์ท่านจากพวกเราไปไหน ยิ่งได้เข้ามากราบพระองค์ในพระบรมมหาราชวัง ยิ่งรู้สึกอบอุ่นเหมือนว่าพระองค์ยังอยู่กับประชาชน

นางยุพิน สูตรใจ อายุ 47 ปี

นางยุพิน สูตรใจ อายุ 47 ปี

ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจากรัฐเวอร์จีเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มาพร้อมเพื่อนคนไทย พักอาศัยย่านพัทยา จ.ชลบุรี โดยหลังจากทราบข่าวว่าในหลวง ร.9 สวรรคต ก็ไม่ได้เปลี่ยนแผนการเดินทางมาประเทศไทย และพร้อมใจกันมาถวายบังคมพระบรมศพ ในหลวง ร.9 ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท โดยได้เตรียมตัวในเรื่องของการแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย โดยเดินทางมาถึงตั้งแต่ตี 4

s__14606559

นายเอเดรียน ลอว์ อายุ 77 ปี ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องดินจากสหรัฐอเมริกา จากมหาวิทยาลัยมิสซูรี แคนซาส ซิตี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า แม้มาเมืองไทยเป็นครั้งแรก แต่ได้รับรู้เรื่องราวของพระองค์ท่านจากหนังสือพิมพ์มาบ้าง ครั้งนี้ได้มาเมืองไทยได้เรียนรู้ประวัติและการทรงงานของพระองค์ท่าน ทราบว่าท่านทรงทำเพื่อประชาชนชาวไทยมากมาย โดยเฉพาะเรื่องดินที่ทรงศึกษาค้นคว้า แก้ปัญหาให้ชาวบ้านสามารถทำเกษตรกรรมได้ อีกทั้งยังทรงสามารถถ่ายทอดสอนให้ชาวบ้านปลูกพืชผักเลี้ยงชีพด้วยตัวเองได้ พระองค์ทรงศึกษาด้านดินอย่างลึกซึ้ง มากกว่าที่พวกเรานักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาค้นคว้าในห้องทดลองเสียอีก

นางจูลี แอน โบเอ็ม วัย 80 ปี เผยว่า รู้สึกดีใจที่เห็นคนไทยรักกัน แม้ตอนเช้าต้องเข้าแถวต่อคิวยาว แต่ด้วยความตั้งใจที่อยากจะมาถวายบังคมพระบรมศพ ทำให้ได้เห็นการรวมเป็นหนึ่งเดียวและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันของคนไทย ระหว่างทางก็มีแจกน้ำ ทิชชู่ และขนมด้วย

น.ส.อแมนด้า โบเอ็ม วัย 44 ปี กล่าวว่า ชอบเดินทางท่องเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ และเมื่อ 4 ปีที่แล้วได้มาท่องเที่ยวในเมืองไทย พร้อมได้ชมความงามของพระบรมมหาราชวัง ทำให้ได้เห็นและทราบประวัติของพระองค์แบบคร่าวๆ จากนั้นได้ศึกษาเพิ่มเติมจากการอ่านในหนังสือและอินเทอร์เน็ต ยิ่งทำให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่แตกต่างจากพระมหากษัตริย์องค์อื่นใดในโลกนี้ เพราะทรงเสียสละเวลาและทรงงานต่างๆ นานัปการ นอกจากนี้ ยังรู้สึกปลื้มใจที่ได้รับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระองค์ทรงแย้มพระสรวลและโบกพระหัตถ์ให้แก่ประชาชน เพื่อนชาวไทยบอกว่าเป็นความโชคดีของเรา เพราะแม้แต่คนไทยบางคนยังไม่ได้ใกล้ชิดอย่างนี้

นายคลิฟ เชง วัย 54 ปี กล่าวว่า เคยมาเที่ยวทางภาคเหนือของประเทศไทย ชมโครงการต่างๆ ที่พระองค์พัตนาทำให้ชาวไทยภูเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อยูดีกินดีด้วยเกษตรกรรม มีอาหาร มีน้ำกินและใช้อย่างยั่งยืน และมีความพอเพียง จำได้ว่าตอนนั้นพอรู้ว่าทั้งหมดที่เห็นมีที่มาจากพระมหากษัตริย์ รู้สึกประทับใจ และสนใจในพระองค์มาก พอเห็นนิทรรศการพระราชประวัติของในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ยืนอ่านอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง มีข้อมูลที่ทำให้ตื้นตันใจ คือที่แท้จริงแล้วพระองค์ท่านมีพระเนตรแค่ 1 ข้าง ทรงทำงานเพื่อผู้คนทั้งประเทศด้วยพระเนตรข้างเดียว คงต้องเหนื่อยมากๆ ลำพังตัวเองทำงานด้วยตา 2 ข้าง ยังรู้สึกเหนื่อยมากๆ แต่งานของพระองค์หนักกว่าหลายเท่า ยังทำต่อเนื่องด้วยความขยัน ไม่ย้อท้อ

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน