เมอร์เซเดส-เบนซ์ เสริมแกร่งแบรนด์ Mercedes-AMG เปิดตัว 2 รุ่นใหม่ Mercedes-AMG GT R และ Mercedes-AMG GT C ตอบสนองทุกความเร้าใจ

นายไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้ ถือเป็นโอกาสครบรอบ 50 ปีของแบรนด์ Mercedes-AMG ซึ่งถือเป็นแบรนด์รถสปอร์ตระดับแถวหน้าของโลก ที่ยึดถือหลักการสร้างสรรค์รถยนต์ที่สามารถ ‘ขับเคลื่อนทุกสมรรถนะ – Driving Performance’ เป็นหัวใจหลักของแบรนด์ ล่าสุดได้เปิดตัวรถยนต์ภายใต้แบรนด์ Mercedes-AMG สองรุ่น คือMercedes-AMG GT R และ Mercedes-AMG GT C เพื่อมาเติมเต็มพอร์ทโฟลิโอของกลุ่มรถยนต์สปอร์ตสมรรถนะสูงระดับพรีเมี่ยม

ไมเคิล เกรเว่

Mercedes-AMG GT R เป็นสมาชิกใหม่ของรถสปอร์ตตระกูล AMG GT และเป็นรถสปอร์ตรุ่นแรกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมอันล้ำสมัยของรถแข่งมาประยุกต์ใช้ ดีไซน์ภายนอก สะท้อนปรัชญาการออกแบบ Sensual Purity กระจังหน้าแบบ AMG Panamericana (เอเอ็มจีแพนอเมริกาน่า) ที่ยื่นออกไปคล้ายจมูกฉลามช่วยลดแรงกดที่ด้านหลังตัวรถ ส่งผลให้การไหลเวียนของอากาศขณะรถเคลื่อนที่ดีขึ้นอีกทั้งยังประกอบด้วยวัสดุบังคับลมชุบโครเมี่ยม 15 ซี่เช่นเดียวกับรถแข่งรุ่น Mercedes-AMG GT 3

ล้ออัลลอยแบบ AMG Performance (เอเอ็มจีเพอร์ฟอร์มานซ์) มีน้ำหนักเบา ช่วยประหยัดพลังงาน และทำให้ระบบช่วงล่างและการหมุนพวงมาลัยเป็นไปอย่างราบรื่นและแม่นยำ นอกจากนั้นยังมีหลังคารถที่ผลิตจากวัสดุคาร์บอน เสริมให้ตัวรถมีสีสันตัดกันสวยงาม พร้อมติด ระบบเบรกแบบ AMG high-performance composite brake สีเหลืองที่เป็นสีพิเศษสำหรับรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ

ดีไซน์ภายในเบาะที่นั่งถูกปรับให้ต่ำลงเพื่อให้ผู้ขับขี่รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ อีกทั้งยังเป็นเบาะที่นั่งแบบ AMG Sports Bucket (เอเอ็มจีสปอร์ตบักเก็ต) หุ้มด้วยหนัง Nappa และเส้นใย DINAMICA Microfibre ที่ช่วยปกป้องลำตัวด้านข้างได้ดีแม้ขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง สามารถเลือกติดตั้งเบาะที่นั่งแบบเอเอ็มจีเพอร์ฟอร์มานซ์ และอุปกรณ์เสริมต่างๆ เพื่อเพิ่ม ความเร้าอารมณ์ขณะขับขี่ เช่น ชุดเข็มขัดนิรภัยสีเหลือง ชุดแผงหน้าปัดสีเหลือง หรือชุดแต่งห้องโดยสาร AMG Interior Piano Lacquer (เอเอ็มจีอินทีเรียร์เปียโนแลกเกอร์) เป็นต้น

ชุดแต่ง AMG Interior Night (เอเอ็มจีอินทีเรียร์ไนท์) เป็นชุดแต่งมาตรฐานของรถยนต์รุ่นนี้ โดยทั้งพวงมาลัย และเกียร์จะชุบสีดำเงาทั้งหมด, แผงหน้าปัดกว้าง สื่อถึงเอกลักษณ์ของงานออกแบบอากาศยาน, แผงควบคุมตรงกลางมีลักษณะคล้ายกับท่อรับอากาศแบบนาคา (NACA air intake) ที่นิยมใช้กับเครื่องบิน และมีช่องลมของเครื่องปรับอากาศ 4 ช่องที่ดูคล้ายสปอตไลท์

มีระบบกันสะเทือนที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ โดยจะทำงานร่วมกับระบบ AMG RIDE CONTROL (เอเอ็มจีไรด์คอนโทรล) ด้วยการใช้โครงสร้างปีกนกสองชั้นเพื่อรักษาสมดุลของล้อ และติดสปริงไว้ด้านบน, ใช้นวัตกรรม AMG Lightweight Performance (เอเอ็มจีไลท์เวทเพอร์ฟอร์มานซ์) ที่เลือกสรรวัสดุน้ำหนักเบามาใช้ในการผลิต ทำให้โครงสร้างของรถมีน้ำหนักเบา มีความยืดหยุ่นสูง แต่แข็งแกร่งและสามารถกระจายแรงได้เป็นอย่างดี, ระบบควบคุมการยึดเกาะเอเอ็มจีแบบ 9 ระดับ หรือ AMG TRACTION CONTROL สามารถจำลองค่าแรงเสียดทานภายในระยะเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเพื่อเตรียมระบบต่างๆ ของรถให้สอดคล้องกับสภาพพื้นถนน โดยมีกลไกชุดหม้อเพลาท้ายรถแบบ LSD เป็นตัวช่วย

ใช้เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ 3,982 ซีซี กำลังสูงสุด 585 แรงม้า ที่ 6,250 รอบต่อนาที แรงบิด 700 นิวตัน-เมตร ที่ 1,900 – 5,500 รอบต่อนาที ระบบเกียร์แบบคลัทช์คู่ 7 สปีด อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ชั่วโมง 3.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 318 ก.ม./ชั่วโมง

ราคาเริ่มต้นที่ 17,400,000 บาท

ส่วนMercedes-AMG GT C ถือเป็นรถยนต์โรดสเตอร์ที่มีสมรรถนะดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ดีไซน์ภายนอกเสริมสปอยเลอร์หลังที่ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับการขับขี่ในสนามแข่งรถยนต์ที่มีช่องทางวิ่งกว้าง, ล้อหลังปรับให้ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับนวัตกรรมต่างๆ ที่เพลาหลัง และเพิ่มประสิทธิภาพขณะเข้าโค้งและเสริมการยึดเกาะ กระจังหน้าแบบเอเอ็มจีแพนอเมริกาน่า มีวัสดุบังคับลมชุบโครเมี่ยม 15 ซี่เช่นเดียวกับรถแข่งรุ่น Mercedes-AMG GT 3, ฝากระโปรงหน้ายาวและทรงพลัง ทำให้รถดูกว้างขวาง อีกทั้งยังมีช่องรับอากาศที่กว้าง ช่วยให้อากาศไหลผ่านเข้าสู่ระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ได้ดียิ่งขึ้น

ช่องรับอากาศนี้สามารถเปิดหรือปิดตัวเองได้อัตโนมัติ ตามความเร็วของรถยนต์ที่ผู้ขับขี่กำหนดเอง นอกจากนั้นยังมีหลังคาผ้าใบ 3 ชั้นที่มีผิวสัมผัสนุ่ม มีโครงสร้างเป็นโลหะผสมแมกนีเซียมและอะลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบา โดยสามารถกางเปิดหรือเลื่อนปิดได้อัตโนมัติภายในเวลา 11 วินาที และใช้งานได้แม้ขณะรถวิ่งที่ความเร็วสูงสุดที่ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ภายในมาพร้อมกับเบาะหนัง Nappa ที่อยู่ต่ำเพื่อช่วยโอบล้อมผู้ขับขี่ให้รู้สึกราวกับอยู่ในรถแข่ง, พวงมาลัยเอเอ็มจีเพอร์ฟอร์มานซ์หุ้มหนัง Nappa และ เส้นใย DINAMICA Microfibre หรือสามารถสร้างความโดดเด่นให้มากยิ่งขึ้นด้วยชุดเบาะเสริมแบบเอเอ็มจีเพอร์ฟอร์มานซ์ ที่สามารถปกป้องร่างกายของผู้ขับขี่และผู้โดยสารทั้งด้านหน้าและด้านหลังได้มากขึ้นด้วยพนักพิงหลังที่มีความโค้ง เสริมด้วยวัสดุเพื่อความนุ่มสบายที่ด้านข้างมากกว่าเบาะที่นั่งแบบมาตรฐาน อีกทั้งยังติดตั้งระบบให้ความอบอุ่นบริเวณช่วงคอแบบแอร์สคาร์ฟ (AIRSCARF) และระบบทำความเย็นให้กับเบาะสำหรับการขับขี่แบบเปิดประทุนทั้งในฤดูร้อนและฤดูหนาว

ผู้โดยสารสามารถปรับเลือกอุณหภูมิของระบบทำความร้อนและความเย็นได้ 3 ระดับ, แผงหน้าปัดกว้าง ทำให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกราวกับถูกโอบล้อมด้วยปีกนก และห้องโดยสารที่สามารถเปลี่ยนสีได้หลากหลายเพื่อเพิ่มสุนทรียะในการขับขี่

ด้านความปลอดภัยและเทคโนโลยี ฝากระโปรงหน้าผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์และวัสดุ SMC (Sheet Moulding Compound) ที่ถูกพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษโดยทีมงานของ Mercedes-Benz TEC (เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทีอีซี) และผู้เชี่ยวชาญของเอเอ็มจี ทำให้ฝากระโปรงรถมีน้ำหนักเบา แต่ยังคงไว้ซึ่งความทนทานและแข็งแรง, ระบบช่วงล่างของทั้ง 4 ล้อมีทั้งปีกนก แกนบังคับเลี้ยว และ โครงฐานคุมล้อ (hub carrier) ที่หล่อจากอะลูมิเนียมเพื่อลดน้ำหนักที่ไม่จำเป็น โดยล้อทั้ง 4 จะถูกควบคุมโดยกลไกปีกนกแบบ 2 ชั้น เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการหมุนของล้อและการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง

ใช้เครื่องยนต์ V8เทอร์โบคู่ 3,982 ซีซี. กำลังสูงสุด 557 แรงม้า ที่ 5,750 – 6,750 รอบต่อนาที แรงบิด 680 นิวตัน-เมตร ที่ 1,900 – 5,500 รอบต่อนาที ระบบเกียร์แบบคลัทช์คู่ 7 สปีด อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ชั่วโมง 3.7 ความเร็วสูงสุด 316 ก.ม./ชั่วโมง

ราคาเริ่มต้นที่ 16,800,000 บาท

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน