แม้ช่วงหลายปีที่ผ่านมารถยนต์พลังไฟฟ้า 100% หรือEV ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กระนั้นมีคนจำนวนไม่น้อยอาจไม่สะดวกกับการต้องชาร์จไฟในบ้าน หรือตามสถานีชาร์จ

จึงสนใจรถยนต์พลังงานทางเลือกอื่นๆ ที่ฮอตฮิตที่สุดไม่พ้น‘ปลั๊กอินไฮบริด’

เพราะสามารถใช้พลังงานไฟฟ้าได้เต็มระบบในช่วงแรก และสามารถใช้พลังงานน้ำมันได้ด้วยเมื่อไฟฟ้าหมด

ยิ่งพัฒนาการของแบตเตอรี่ล้ำสมัยทำให้มีความจุมากขึ้น หากเป็นการใช้งานในชีวิตประจำวัน ตื่นเช้าออกจากบ้าน เย็นเข้าบ้าน แต่ละวันใช้รถไม่น่าถึง 100 กิโลกเมตร

รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

หนึ่งในนั้นที่กำลังเป็นที่นิยมมากๆ ไม่พ้น เมอร์เซเดส-เบนซ์‘C 350e AMG Dynamic’

เก๋งตัวท็อปขุมพลังแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด

เพราะการชาร์จ 1 ครั้งวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าไกลสุด 100 กิโลเมตร ทำความเร็วสูงสุดในโหมดEV 140 ก.ม./ชั่วโมง

นัยว่าเป็นรถปลั๊กอินไฮบริด ที่มีพิสัยทำการของความจุแบตเตอรี่สูงสุดในเซกเมนต์เดียวกัน

ผมมีโอกาสได้ทดสอบรถรุ่นนี้ บอกเลยว่าจัดจ้านในทุกย่านทีเดียว

มาดูรูปร่างหน้าตาแบบคร่าวๆ กันก่อน กระจังหน้าคาดโครเมียม 2 เส้น ตรงกลางเป็นโลโก้ขนาดใหญ่

ไฟหน้า DIGITAL LIGHT สาดแสงไกลถึง 650 เมตร

มีฟังก์ชั่น Adaptive Highbeam Assist Plus ควบคุมไฟ LED ให้สอดรับกับสถานการณ์บนท้องถนนอย่างอิสระ

และ ULTRA RANGE Highbeam ช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่ให้เข้ากับแต่ละสถานการณ์การขับขี่ได้อย่างเหมาะสม

มีระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist)

ปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (ALS-Active Light System)

หลังคาด้านหลังลาดลงเล็กน้อย ไฟท้ายแอลอีดีทรงสวย ท่อไอเสียคู่ทรงเหลี่ยม

ระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้มือ

ล้ออัลลอย AMG 5 twin-spoke ขนาด 18 นิ้ว

มาพร้อมชุดแต่งAMG ครบสูตร ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มแล้ว

กิมมิกเล็กๆ คือเมื่อเปิดประตูแสงจากใต้กระจกมองข้างฉายลงพื้นเป็นตราสัญลักษณ์ดาวสามแฉก

ภายในที่เด่นสุดๆ ไม่พ้นสีแดงสดตัดกับสีดำตกแต่งแบบ AMG Line interior

พวงมาลัย 3 ก้านจับกระชับมือพร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น ซึ่งแยกปุ่มเป็นแบบ 2 ชั้น

หน้าจอข้อมูลการขับขี่แบบ Digital ขนาด 12.3 นิ้ว เห็นกระจ่างตาสุดๆ

ตรงกลางเป็นหน้าจอขนาด 11.9 นิ้ว วางแนวตั้งคล้ายไอแพด

ระบบมัลติมิเดียแบบ MBUX ระบบปรับรูปแบบเครื่องเสียงแบบส่วนตัว (Sound personalization) ระบบสั่งงานด้วยเสียง รวมถึงฟังก์ชั่นการสแกนลายนิ้วมือ

ระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester 3D surround sound system

ระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย (Wireless charging)

ระแบบแอร์อัตโนมัติ เจาะช่องแอร์ทรงกลมตรงกลาง 3 ช่องวางอยู่เหนือคอนโซลหน้า

มีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังมาให้ด้วย

ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารปรับได้ 64 เฉดสี และ color moods 10 รูปแบบ

หลังกดปุ่มสตาร์ตเสียงเครื่องยนต์เงียบจนไม่แน่ใจว่าติดเครื่องหรือยัง เพราะช่วงแรกใช้ระบบไฟฟ้า

กดคันเร่งให้รถเคลื่อนตัวออกไป รถแทบพุ่งเป็นจรวด

ขุมพลังเบนซิน 1,999 ซีซี ความจุแบตเตอรี่ 25.4 กิโลวัตต์ กำลังสูงสุด 313 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตร ระบบเกียร์ 9G-Tronic

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 6.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กิโลเมตร/ชั่วโมง

หน้าจอผู้ขับขี่ดูล้ำๆ ปรับรูปแบบแสดงผลได้ 3 แบบ Discreet, Sporty, Classic

เกียร์ยังอยู่บริเวณคอพวงมาลัยด้านขวา ใช้นิ้วขยับขึ้นลง

โหมดการขับขี่มีหลายรูปแบบ อาทิ ไฮบริด สปอร์ต อิเล็กทริก และแบตเตอรี่โฮล

ทริปนี้ผมเน้นไปที่ไฮบริด กับสปอร์ต

โหมดไฮบริดใช้ไฟฟ้าในช่วงแรก จนเมื่อความเร็วเกินกว่าที่พลังไฟฟ้าจะทำได้ เครื่องยนต์จะเข้ามาเสริมแรง

การปรับเปลี่ยนแทบไม่รู้สึกจะมีเพียงเสียงเครื่องยนต์เท่านั้น

ระบบกันสะเทือนเลือกได้ตามสภาพการขับขี่ นแบบพาสซีฟ ไม่ต้องปรับอะไรมากเพราะระบบจะช่วยจัดการให้ทั้งหมด

หรือจะเลือกแบบสปอร์ตเพิ่มการยึดเกาะถนน และมั่นใจมากขึ้นเมื่อเข้าโค้งแรงๆ

แต่จริงๆ ในการใช้งานแทบไม่ต้องปรับอะไรให้ยุ่งยาก

พวงมาลัยคมกริบ และนิ่งสุดๆ แม้ความเร็วจะค่อนข้างสูงก็ตาม

ที่นั่งคู่หน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจํา โอบกระชับลำตัวได้ดี

พื้นที่เหนือศีรษะไม่ถึงกับอึดอัด แถมมีพาโนรามิกซันรูฟ แต่เปิดได้เฉพาะแผ่นด้านหน้าเท่านั้น

ส่วนผู้โดยสารตอนหลังหากมีแดดส่อง สามารถเปิดม่านบังแดดหลัง และบริเวณประตูข้างได้ด้วย

ออปชั่นและตัวช่วยไฮเทืคต่างๆ อัดแน่นตามสไตล์รถจากเยอรมนี

อาทิ ระบบรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า (Active Distance Assist DISTRONIC)

Lane Tracking package ที่ประกอบด้วยระบบ Active Lane Keeping Assist ช่วยดึงรถกลับเข้าช่องจราจรเดิมโดยอัตโนมัติหากตรวจพบความเสี่ยงในการชน

ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดบอดสายตา (Blind Spot Assist)

ช่วยจอดด้วย PARKTRONIC ที่ตรวจจับพื้นที่จอดรถว่าง

กล้องถอยหลังและเซ็นเซอร์อัลตราโซนิก

ส่วนการชาร์จไฟทำได้ค่อนข้างเร็ว กรณีไฟฟ้ากระแสตรง (DC charger) ใช้เวลาเพียง 30 นาที เต็ม 100% ส่วนการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (AC charger) ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง

เรียกว่าไปต่างจังหวัดแล้วไฟฟ้าหมดสามารถจอดชาร์จแวะดื่มกาแฟเพลินๆ ก็ไปต่อได้อีกเป็นร้อยกิโลเมตร

หรือใครขี้เกียจรอ เลี้ยวเข้าหาหัวจ่ายน้ำมันเชื้อเพลงก็แล้วแต่ความสะดวก

เมอร์เซเดส-เบนซ์“C 350 e AMG Dynamic” ราคา 3,350,000 บาท

สันติ จิรพรพนิต….เรื่อง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน