ผู้เชี่ยวชาญออกโรงเตือน “พญาอินทรี” กับ “มังกร” ฟัดกันไม่หยุด หญ้าแพรกอย่างไทยสะเทือนเต็มๆ ระบุสงครามการค้าอาจทำส่งออกไทยติดลบปีนี้ แนะเร่งจัดตั้งรัฐบาลให้เสร็จ พร้อมออกนโยบายช่วยเหลือภาคธุรกิจโดยด่วน

วันที่ 12 ก.ค. 2562 ผู้สื่อข่าว “ข่าวสด” รายงานว่า สมาคมผู้สื่อข่าวไทยจีนจัดงานเสวนาในหัวข้อ “สงครามการค้าจีน-อเมริกา ฟ้าสว่างหรือทางมืด” ร่วมกับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ โดยมีผู้เชี่ยวชาญและตัวแทนจากหลายหน่วยงานเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พร้อมผู้สนใจเข้าร่วมฟังการเสวนาจำนวนมาก

ก่อนเริ่มงานเสวนา นายชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ นายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ได้กล่าวอธิบายที่มาของการจัดงานว่า สืบเนื่องมาจากสงครามการค้าหรือ trade war ระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีน เพิ่มความรุนแรงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้ว และมีแนวโน้มว่ายังไม่น่าจะคลี่คลายง่ายๆ

“ที่งาน G20 ที่ผ่านมาดูเหมือนเขาจะจูบปากกัน แต่จริงๆไม่น่าจะเป็นการจูบปากจริง เพราะในหลายๆเรื่องยังไม่มีข้อสรุป” นายชัยวัฒน์กล่าว

นายชัยวัฒน์กล่าวว่าผ่านมาก็เริ่มมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยบ้างแล้ว ดังคำภาษิตว่า “เมื่อช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกราน” จึงอยากให้คนไทยหันมาสนใจว่าเราจะปรับตัวอย่างไรกับสถานการณ์ดังกล่าว

ในระหว่างการเสวนานั้น นางสุจิต ชัยวิชญชาติ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค สายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าถึงแม้เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวมาพักหนึ่งแล้วตามวัฏจักรทางเศรษฐศาสตร์ (cyclical slowdown) แต่การปะทุขึ้นของสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ยิ่งทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกซบเซาลงกว่าเดิม

คลิกอ่าน ไม่สนแม้จะโดนมะกันแบน: ‘หัวเว่ย’ ย้ำเดินหน้าร่วมมือกับไทย

แน่นอนว่าประเทศไทยก็แบกรับผลสะเทือนจากสงครามการค้าครั้งนี้ไปด้วย โดยนางสุจิตกล่าวว่าตัวเลขการส่งออกของไทยติดลบมาหลายเดือนแล้ว ยกเว้นก็แต่เดือนก.พ.ที่ผ่านมาเพราะมีการฝึกทหาร Cobra Gold ซึ่งนับเอาการขนอาวุธยุทโธปกรณ์ไปในมูลค่าการส่งออกด้วย

ขณะที่เงินบาทก็ยังแข็งตัวอย่างต่อเนื่อง

นางสุจิตระบุว่านโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาไม่ได้กระทบเฉพาะการส่งออกของไทยไปจีนอย่างเดียวเท่านั้น แต่การส่งออกระหว่างไทยกับประเทศคู่ค้าอื่นๆทรุดตัวเกือบทั้งหมดด้วย ยกเว้นสหรัฐฯเท่านั้นที่ยังเป็นบวกอยู่

สำหรับการส่งออกที่ได้รับผลกระเทือนมากที่สุดได้แก่สินค้าประเภทชิ้นส่วนเครื่องไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์, ผลิตภัณฑ์ประเภทเคมี ยาง พลาสติก, เครื่องจักรและชิ้นส่วนอะไหล่ และประเภทผ้าดิบ เสื้อผ้า หนัง และไม้ ซึ่งนางสุจิตเตือนด้วยว่า ถ้าหากสงครามการค้ายังยืดเยื้อ ความเสียหายก็อาจจะลุกลามไปยังธุรกิจอื่นๆด้วย

ด้านดร.ธารากร วุฒิสถิรกูล รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางไทย-จีน แสดงความเห็นว่า ตนเองไม่อยากใช้คำว่า “สงครามการค้า” แต่ควรใช้คำว่า “กรณีพิพาทระหว่างสหรัฐฯกับจีน” มากกว่า เพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะการค้าอย่างเดียว แต่เป็นการชิงความเป็นใหญ่ทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และยุทธศาสตร์ในภูมิภาคเอเชีย

นายธารากรยกตัวอย่างว่า กรณีสหรัฐฯสั่งแบน “หัวเว่ย” (หรือคนจีนออกเสียงว่า หัวเหวย) สาเหตุหลักก็เป็นเพราะกลัวนวัตรกรรมของบริษัทจีนทางด้าน 5G ที่จะเป็นคู่แข่งบริษัทสัญชาติสหรัฐฯได้ เป็นตัวอย่างหนึ่งให้เห็นว่าความขัดแย้งไม่ได้จำกัดเฉพาะด้านในด้านเดียว ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะหาข้อสรุปร่วมกันได้

“ข้อพิพาทกรณีนี้ไม่จบลงง่ายๆอย่างแน่นอน” นายธารากรวิเคราะห์ “ก่อนหน้านี้จีนเป็นรองตะวันตกมา 200 กว่าปี … ตอนนี้จีนจะขอทวงแชมป์คืนบ้าง”

นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า สถานการณ์ความขัดแย้งครั้งนี้กระทบไทยโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน ยิ่งโดยเฉพาะมีกรณีค่าเงินบาทผันผวนควบมาด้วย ตนจึงคาดว่าในปีนี้การส่งออกไทยก็ไม่น่าโตเกินร้อยละ 0 หรืออาจจะติดลบร้อยละ 1 ด้วยซ้ำ

นางสาวกัณญภัคเสนอว่าภาครัฐควรยื่นมือเข้ามาช่วยภาคธุรกิจของไทยโดยเร่งด่วนผ่านมาตรการต่างๆ เพื่อประคับประคองให้ผ่านวิกฤตินี้ไปได้

ไม่ว่าจะเป็นการกำกับดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ ไม่ให้แข็งค่าสูงกว่าคู่ค้าและคู่แข่งที่สำคัญ และสนับสนุนการเจรจาตกลงการค้าเสรีหรือ FTA กับประเทศอื่นๆที่ไทยสามารถเปิดตลาด ได้เช่น ปากีสถาน, อียิปต์, สหภาพยุโรป

นอกจากนี้ยังควรเร่งจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพทางการเมืองโดยเร็ว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน