สถาบันวัคซีนแห่งชาติ พร้อมเข้าร่วมกับประเทศจีน พัฒนาวัคซีนโควิดระยะ 3 ทดลองในคน หวังมีสิทธิเข้าถึงวัคซีนเป็นประเทศแรกๆ ในโลก

เมื่อวันที่ 22 มี.ค. นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปัจจุบันการพัฒนาวัคซีนที่มีความก้าวหน้าที่สุดคือ ประเทศจีน เนื่องจากเกิดโรคเป็นประเทศแรก ซึ่งสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ประเทศไทย เข้าร่วมทดสอบวัคซีนในคนกับประเทศจีนด้วย โดยไทยพร้อมเข้าร่วมทั้ง 3 ระยะ การที่ไทยเข้าร่วมกับจีนในการวิจัย จะทำให้เมื่อจีนสามารถผลิตวัคซีนได้ ไทยก็จะเป็นประเทศแรกๆ ที่สามารถเข้าถึงวัคซีนได้ ส่วนจะเข้าถึงได้มากน้อยแค่ไหนอยู่ที่ปริมาณการผลิตของจีน

สำหรับการผลิตวัคซีนโดยคนไทย เริ่มดำเนินการบ้างแล้ว และมีการเตรียมพร้อมทั้งคน โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งนี้ เมื่อจีนสามารถผลิตวัคซีนได้ ไทยก็จะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือหากให้วัคซีนมาบรรจุเอง เราก็เตรียมความพร้อมไว้แล้ว เช่น โรงงานที่ จ.ฉะเชิงเทรา ที่เป็นการร่วมทุนขององค์การเภสัชกรรมและเอกชน หรือหากจีนจะถ่ายทอดกระบวนการเบื้องต้น ไทยจึงต้องเตรียมพร้อมไว้ด้วย เป็นต้น คาด ว่า 3-4 เดือน จะมีวัคซีนอิมพอร์ตมาทดลองในไทย

“การผลิตวัคซีนของจีน ก้าวหน้าถึงขั้นทดสอบในคนแล้ว ซึ่งมีวัคซีนจากหลายบริษัท โดยระยะที่ 1 น่าจะทดลองในคนประมาณ 100 คน ระยะ 2 ประมาณ 1,000 คน และระยะ 3 ประมาณ 10,000 คน ซึ่งจากการระบาดของโรค น่าจะสามารถนำมาทดลองในไทยได้ภายใน 3-4 เดือน

ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนจะใช้ 2 มิติ คือ 1.ลดการเสียชีวิต จะฉีดในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว เด็กเล็ก เป็นต้น และ 2.ลดการเจ็บป่วย จะฉีดในกลุ่มวัยทำงาน ในกลุ่มเมือง ที่พบว่ามีการติดเชื้อจำนวนมาก ซึ่งหากฉีดในกลุ่มนี้จะช่วยลดโอกาสการแพร่โรค

ทั้งนี้ การจะฉีดในกลุ่มใดต้องประเมินอีกครั้ง ส่วนความต้องการวัคซีนตามหลักแล้วต้องฉีดให้ได้มากกว่า 60% แต่หากมีวัคซีนเหลือจำนวนมาก ก็จะฉีดให้ได้ 90% ขึ้นไปเป็นต้น”อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว

อย่างไรก็ตามในเรื่องความก้าวหน้าของจีนที่พัฒนาวัคซีนและทดสอบ ตอนนี้อยู่ในระยะที่ 2 ซึ่งมีโอกาสที่ไทยจะเข้าร่วมด้วย ซึ่งได้หารือกับทางสถานทูตจีนเรื่องความร่วมมือการทำเอ็มโอยู หากทำเอ็มโอยูแล้ว ไทยจะได้เข้าร่วมทดสอบวิจัย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน