เปิด 15 ขั้นตอนเก็บตัวอย่างน้ำลายตรวจหาเชื้อโควิด ย้ำต้องขากเสลดจากลำคอเท่านั้น แค่น้ำลายจากกระพุ้งแก้มไม่เพียงพอ เผยเป็นวิธีสะดวก ประหยัด
วันที่ 24 เม.ย. ที่สถาบันบำราศนราดูร นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงมาตรการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ด้วยน้ำลายที่อยู่ส่วนลึกในลำคอ ว่า ที่ผ่านมาการตรวจทางห้องปฏิบัติการ (แล็บ) เพื่อหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะแยกเป็น 4 กลุ่ม 1.กลุ่มผู้ป่วยเฝ้าระวัง (PUI) ซึ่งมีการปรับเกณฑ์ให้ครอบคลุมมากขึ้น 2. กลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงเสี่ยงต่ำ 3. การค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในจังหวัดภูเก็ต บางส่วนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และ 4.การค้นหาผู้ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการในชุมชน ย่านเขน คลองเตย และพื้นที่เคยพบรายงานผู้ป่วย

นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า ล่าสุดร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พัฒนาวิธีการตรวจหาเชื้อที่ได้จากการขากน้ำลายที่อยู่ส่วนลึกในลำคอ เหมือนการขากเสมหะ ซึ่งมีข้อดี คือ 1.เก็บตัวอย่างง่าย ด้วยตัวเอง 2.ลดการใช้ชุดป้องกันส่วนบุคคล (PPE) 3.ราคาถูก และ 4. รวดเร็ว โดยจะนำวิธีนี้ตรวจในกลุ่ม ที่ 2,3,4 ข้างต้น เพราะในกรณีกลุ่มคนจำนวนมาก เช่น เดินทางมาจากต่างประเทศ ด่านพรมแดน หรือคนที่มาจากต่างประเทศแล้วต้องรีบกลับ ตรวจกรณีมีผู้สัมผัสจากกิจกรรมหนึ่งๆ จำนวนมากนับพันคน รวมถึงนำไปใช้ในการค้นหาคนไม่มีอาการในกลุ่มเสี่ยงบางกลุ่ม เช่น แรงงานต่างด้าว ในจังหวัดสมุทรสาคร ภาคใต้ตอนบน กทม.บางพื้นที่ หรือใช้ตรวจคนเสี่ยงในบุคลากรสาธารณสุข สื่อมวลชน ซึ่งจะทำให้สะดวกมากขึ้น ด้วยราคาที่ถูกลงจะทำให้ตรวจได้มากขึ้น

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า วิธีมาตรฐานในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 คือการตรวจสารพันธุกรรมของเชื้อด้วยวิธี RT-PCR จะเร็วสุด เป็นวิธีมาตรฐานที่ใช้ในการตรวจเพื่อหวังผลในการวินิจฉัย และคัดกรองโรค ส่วนการตรวจหาภูมิคุ้มกันของเชื้อจะตรวจเจอหลังเกิดการติดเชื้อมานานแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาได้ร่วมกับสถาบันบำราศฯ ในการเก็บตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยเป็นระยะๆ เพื่อตรวจหาภูมิคุ้มกันพบว่า 1-7 วันหลังมีอาการตรวจเจอภูมิคุ้มกันเพียง 17% หลัง 14 วัน ภูมิคุ้มกันขึ้นแค่ 42% และหลังจากนั้นถึงตรวจเจอภูมิคุ้มกัน 85% ซึ่งส่วนใหญ่จะหมดเชื้อไปแล้ว จึงมีประโยชน์ในการวินิจฉัยโรคและการคัดกรองไม่มากนัก องค์การอนามัยโลกไม่แนะนำ

“การตรวจที่ผ่านมาด้วยวิธี RT-PCR ต้องใช้บุคลากร ชุดPPE จำนวนมาก ซึ่งเป็นชุดที่ทั่วโลกต้องการทำให้ขาดแคลน ดังนั้นกรมฯ จึงร่วมกับสถาบันบำราศนราดูรในการตรวจหาเชื้อจากน้ำลายที่ขากมาจากส่วนลึกในลำคอ ซึ่งต้องย้ำว่าไม่ใช่แค่การถ่มน้ำลายที่ได้จากกระพุ้งแก้มเท่านั้น

ทั้งนี้เมื่อได้แล้วถ่มลงไปในกระปุกที่มีอาหารสำหรับไวรัสอยู่ ล้างมือให้สะอาดปิดกระปุกใส่ลงไปในถุงซิป 3 ชั้น จากนั้นจะนำไปตรวจด้วยวิธี RT-PCR เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ใน ฮ่องกง อเมริกา รวมถึงรพ.รามาธิบดีทำก็พบว่า ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งในลำคอ ตรวจ 100 คนโอกาสเจอ 90 คน ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไทยใช้วิธีนี้ในการเก็บตัวอย่างเชื้อวัณโรค นอกอาคารรพ.ด้วย ย้ำว่าไม่มีการแพร่สู่ผู้อื่น ดังนั้นเป็นวิธีที่ตอบโจทย์ จะใช้ในการคัดกรองต่อไป แต่ไม่ได้มาทดแทนการตรวจสารคัดหลั่งในลำคอด้วยวิธี RT-PCR

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ออกคู่มือการการเก็บน้ำลายจากส่วนลึกในลำคอเพื่อคัดกรองโควิด-19 โดยระบุ ข้อควรระวังคือ ไม่ควรแปรงฟัน ใช้น้ำยาบ้วนปาก ดื่มน้ำ หรือเคี้ยวหมากฝรั่งก่อนเก็บน้ำลาย ควรงดการรับประทานอาหาร 1-2 ชั่วโมง ส่วนขั้นตอนการเก็บคือ 1. ล้างมือให้สะอาด 2. เขียนชื่อ-ติดกระปุกเก็บเสมหะ 3. เปิดปากถุงซิปล็อกและพับปากถุงทั้ง 3 ขนาดเตรียมไว้ 4. เปิดฝากระปุกเก็บน้ำลาย 5. เทอาหารสำหรับเก็บตัวอย่างไวรัส หรือ VTM ลงในกระปุกเก็บน้ำลาย

6. ขากน้ำลายที่อยู่ในลำคอส่วนลึกในขณะที่ยังสวมหน้ากากอนามัยอยู่ 7. เปิดหน้ากากอนามัยบางส่วน 8. ใส่น้ำลายลงในกระปุกเตรียมไว้ และสวมหน้ากากทันที 9. ปิดฝากระปุกเก็บน้ำลายให้สนิท 10. ใช้ทิชชู่เช็ดทำความสะอาดด้านนอกกระปุก

11. พันปิดฝากระปุกเก็บน้ำลายด้วยพาราฟิล์มอีกครั้ง ล้างมือให้สะอาด 12. นำกระปุกใส่ลงไปในถุงซิปล็อก โดยยังไม่ต้องปิดถุง 13. หลังจากนั้นล้างมือให้สะอาดและเช็ดมือให้แห้ง 14. ปิดถุงซิปล็อก พับม้วนให้กะทัดรัด และนำไปใส่ถุงซิปล็อกอีก 2 ชั้น 15. เก็บใส่กล่องรักษาอุณหภูมิที่มีเจลเก็บความเย็น และนำส่งห้องปฏิบัติการภายใน 5 ชั่วโมง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน