เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข ศ.เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร พร้อมด้วย ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา และ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวกรณีเลื่อนการฉีดวัคซีนแอสตราเซนเนกา

นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องชะลอการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนกาไปก่อน เนื่องจากเมื่อคืนมีการประกาศจากประเทศเดนมาร์ก ออสเตรีย และประเทศในยุโรป ที่เอาวัคซีนของแอสตร้าเซนเนกา ไปฉีดนับล้านโดส แต่เจอผลข้างเคียง ทำให้เลือดแข็งตัวในหลอดเลือดดำ มีผลไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น ดังนั้น เดนมาร์กประกาศชะลอการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนกา ไปก่อน

คณะแพทย์และทีมงานด้านการฉีดวัคซีนต้องนำมาพิจารณา คือ การฉีดวัคซีนให้คนไทย กระทรวงสาธารณสุขและทีมคณะแพทย์หวังอย่างเดียวว่า วัคซีนต้องปลอดภัยที่สุดสำหรับประชาชน เมื่อมีเหตุไม่พึงประสงค์จึงไม่ต้องรีบฉีด แม้วัคซีนแอสตร้าเซนเนกาจะมีคุณภาพและประสิทธิภาพที่ดี เมื่อมีคนบอกให้ชะลอ เราก็ควรรอฟังผลการสืบค้นสาเหตุว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่ ประเทศไทยควรใช้โอกาสให้ความปลอดภัยประชาชนมากที่สุด ชะลอไว้แล้วรอผลการสืบค้นว่าเกี่ยวกับวัคซีนหรือไม่

“ความปลอดภัยของประชาชนคือเป้าหมายสูงสุดของกระทรวงสาธารณสุข เพราะฉะนั้นวัคซีนของแอสต้ราเซนเนกา ไม่ใช่วัคซีนที่ไม่ปลอดภัย ฉีดทั้งโลกแล้ว 34 ล้านโดส มีผลข้างเคียงบ้าง แต่มีการสืบค้นอยู่เพื่อความปลอดภัย เราต้องรอฟัง ก็ชะลอไปอย่างมาก 1-2 สัปดาห์ ถ้าผลออกมาถูกต้อง ก็ยิ่งสร้างความมั่นใจว่าวัคซีนที่ฉีดประชาชนได้รับการยืนยันชัดเจนว่าปลอดภัย ถึงเอามาฉีดประชาชนของเรา

ขอให้ทุกท่านมั่นใจว่าสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขกำลังมอบให้ประชาชนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ การฉีดวัคซีนเรายังไม่หยุด เพราะของแอสตร้าเซนเนกาเราสั่งมา 1 แสนโดส แต่ของซิโนแวคมีอีก 1.8 ล้านโดสกำลังมา ช่วงนี้คิดว่าประชาชนที่มีความจำเป็นขั้นแรกต้องรับวัคซีนคงได้รับต่อไป คิดว่าสิ่งที่เราทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้” นพ.ปิยะสกลกล่าว

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าข้อมูลไม่ได้ถูกยืนยันชัดเจนว่าคืออะไร จะทำให้ตื่นตระหนกและสับสน เรื่องนี้สืบเนื่องจากแอสตร้าเซนเนกา ได้ส่งวัคซีนรุ่นผลิต “ABB5300” จำนวน 1 ล้านโดส ให้แก่ 17 ประเทศในสหภาพยุโรป มีการทยอยฉีด สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เดนมาร์กมีผู้ป่วย 1 รายเสียชีวิต และมีผู้ป่วยหลายรายเกิดลิ่มเลือด รัฐบาลเดนมาร์กจึงประกาศชะลอการฉีด 2 สัปดาห์ แต่ยังไม่ได้บอกว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีน

แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ตามปกติจะชะลอการฉีดเพื่อสืบค้นว่าเกี่ยวกับวัคซีนหรือไม่ นอกจากนี้ ไอซ์แลนด์ และนอร์เวย์ ก็ประกาศหยุดการใช้ โดยไอซ์แลนด์แจ้งว่าไม่ได้เกิดเหตุการณ์ลิ่มเลือด แต่ประกาศชะลอเพื่อความปลอดภัย และรอดูผลขององค์กรหนึ่ง คือ European Medicine Agency (EMA) ทำหน้าที่สืบค้น เมื่อวาน EMA ประกาศว่า ไม่ได้ให้หยุดการใช้ วัคซีนแอสตร้าเซนเนกาปลอดภัย แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ก็ต้องลงไปตรวจสอบอีกครั้ง








Advertisement

“ประเทศต่างๆ ที่ชะลอใช้วัคซีน คือ ออสเตรีย เอสโตเนีย ลิทัวเนีย ลักเซมเบิร์ก ลัตเวีย เพราะมีการใช้วัคซีนรุ่นเดียวกัน โดยขอดูการคอนเฟิร์มอีกครั้งจาก EMA ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซนเนกา ของไทยไม่ได้เอามาจากแหล่งเดียวกัน จึงขอสรุปสั้นๆ ว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นหลังฉีดวัคซีนจะมีการสืบค้น EMA ได้ไปประเมินอุบัติการณ์การเกิดลิ่มเลือด และเทียบกับคนไม่ได้ฉีดวัคซีนในกลุ่มประเทศทางยุโรป พบว่าตัวเลขไม่แตกต่างกัน

จึงเป็นเหตุผล EMA บอกว่าไม่ควรสัมพันธ์กับการฉีดวัคซีนตัวนี้ แต่เพื่อความปลอดภัย ไม่ว่าใช้ยาหรือวัคซีนเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้จะมีการหยุดการใช้ก่อน และสืบค้นจนกว่าจะชัดเจน” ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าวและว่า ส่วนกรณีเกาหลีใต้ที่ฉีดวัคซีนแล้วพบเสียชีวิตรายงานสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลเกาหลียืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน ก็กลับมาฉีดใหม่

ศ.นพ.ยง กล่าวว่า การฉีดวัคซีนจำนวนมากโอกาสเกิดอาการไม่พึงประสงค์หรืออาการอื่นๆ ร่วมกับการฉีดวัคซีนเกิดขึ้นได้ เมื่อเกิดขึ้นจะต้องพิสูจน์ว่าโรคหรืออาการนั้นเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่ และมีการสอบสวน ส่วนกรณีการชะลอการใช้วัคซีนหลังเกิดลิ่มเลือด ต้องอธิบายว่าลิ่มเลือดนั้นเกิดขึ้นได้ในยามปกติ โดยเฉพาะการนั่งนานๆ หรือผู้สูงอายุที่นอนนานๆ

มีโอกาสเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดดำ และมีโอกาสหลุดไปอุดในปอด เพราะเลือดดำไหลเข้าปอด ทำให้เลือดกลับเข้าปอดไม่ได้ โดยเฉพาะก้อนใหญ่ๆ อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต อุบัติการณ์นี้พบมากในคนเชื้อชาติแอฟริกันและยุโรปมากกว่าเอเชีย โดยยุโรปพบมากกว่าเอเชียถึง 3 เท่า เชื่อว่ามาจากปัจจัยทางพันธุกรรม จะเห็นว่าเวลาขึ้นเครื่องบินถึงมีคำแนะนำให้ต้องขยับ และดื่มน้ำมากๆ

“กรณีที่เกิดขึ้นมีการฉีดวัคซีนไป 3 ล้านโดส มีผู้ป่วยเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ 22 ราย จำนวนนี้เสียชีวิต 1 ราย อุบัติการณ์ประมาณ 7 ใน 1 ล้านราย จึงต้องมีการสอบสวนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดในภาวะปกติ ในคนธรรมดาที่แม้ไม่ฉีดวัคซีนก็เกิดหรือไม่ เท่ากันหรือไม่

ถ้าบอกว่าฉีดแล้วเกิดมากกว่าในภาวะปกติ ก็ต้องหาสาเหตุว่าวัคซีนไปทำให้เกิดอะไรถึงทำให้ลิ่มเลือดแข็งตัวได้ง่าย อย่างกรณีนอร์เวย์ที่ฉีดของไฟเซอร์แล้วมีผู้เสียชีวิต 28 คน ต่อมาพบว่าส่วนใหญ่เกิดในผู้สูงอายุ สถานพักคนชรา อายุมากกว่า 80 ปี เมื่อตรวจสอบลงลึกไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน เมื่อใดมีอุบัติการณ์เกิดขึ้นต้องสงสัยไว้ก่อน” ศ.นพ.ยงกล่าว

ศ.นพ.ยงกล่าวว่า การเลื่อนการฉีดวัคซีนครั้งนี้ไม่ได้บอกว่าวัคซีนไม่ดีหรือมีปัญหา แต่เพื่อดูสถานการณ์ให้พิสูจน์ว่าเกี่ยวข้องหรือไม่ เฉพาะรุ่นนั้นหรือไม่ เพราะรู้ว่าวัคซีนที่ใช้ในยุโรปกับที่เราใช้คนละรุ่นกัน เพราะของยุโรปใช้ผลิตในยุโรป ของเราได้จากโรงงานในเอเชีย เราชะลอเพื่อตรวจให้แน่นอน และไทยไม่ได้เป็นประเทศเสี่ยงสูง การชะลอฉีดไป 5-7 วัน หรือ 2 สัปดาห์ก็ไม่ได้เกิดผลกระทบอะไร แต่เพื่อความปลอดภัย คณะกรรมการฯ เห็นว่าควรให้ชะลอก่อนและรอผล ไม่ได้บอกว่ายุติการฉีด

“การแข็งตัวของเลือดปัจจัยสำคัญคือเชื้อชาติ คนยุโรปและแอฟริกันเป็นมากกว่าเอเชีย พันธุกรรมมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เหตุการณ์แข็งตัวของเลือดไม่เคยเกี่ยวข้องกับวัคซีนตัวใดมาก่อน แต่วัคซีนตัวนี้เป็นวัคซีนใหม่ หรือมาดูส่วนผสมในตัวยาในนั้น ไม่มีตัวยาไหนที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ไปกระตุ้นการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ไม่มี แต่เป็นการศึกษาด้านระบาดวิทยาเท่านั้น ที่มีคนไข้ขึ้นมาก็ต้องไปศึกษาเปรียบเทียบในภาวะปกติที่ไม่ฉีดวัคซีนอุบัติการณ์ต่างกันหรือไม่

ถ้าไม่ต่างกันก็คล้ายเป็นโรคร่วมที่เกิดขึ้นขณะฉีดวัคซีน ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดในไทย ไทยเราคงไม่ต้องไปสอบสวน แต่เกิดในเดนมาร์ก ออสเตรีย ก็ต้องรอให้เขาสอบสวน ถ้าไม่เกี่ยววัคซีนก็จบ ถ้าเกี่ยวเกี่ยวกับปัจจัยอะไรบ้าง และปัจจัยนั้นเกี่ยวกับบ้านเราหรือไม่ ถ้าไทยเรามีปัจจัยก็ต้องดูว่าเสี่ยงแค่ไหน พูดง่ายๆ คือประเทศไทยไม่ต้องทำอะไร ดูข้อมูลเขาก่อน และเชื่อว่าจะออกมาใน 1-2 วัน เมื่อออกมาแล้วคงมาหารือกันอีกครั้ง เชื่อว่าได้เดินหน้าแน่นอน” ศ.นพ.ยงกล่าว

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน