สธ. เผยฉีดวัคซีนโควิดแล้ว 5 หมื่นคน ยัน “แอสตราเซเนกา” ปลอดภัย ฉีดเข็มแรก 3 สัปดาห์ ป้องกันโควิด 76% องค์การอนามัยโลกยอมรับ

เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

เมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2564 นพ.เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทน ผอ.กองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงการฉีดวัคซีนโควิด-19 ว่า ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. – 15 มี.ค.2564 ฉีดวัคซีนแล้ว 50,388 คน คิดเป็น 54% ของเป้าหมายการฉีดวัคซีนเข็มแรก โดย 13 จังหวัดที่ฉีดวัคซีน มี 9 จังหวัดฉีดครบ 100% แล้ว คือ เชียงใหม่ ตาก สมุทรสงคราม ราชบุรี นครปฐม สมุทรปราการ ชลบุรี ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี

ส่วนที่ใกล้ครบ 100% คือ นนทบุรีและปทุมธานี ขณะที่สมุทรสาครฉีดแล้ว 60% และ กทม. ซึ่งมีพื้นที่ใหญ่ที่ตั้งเป้าฉีดคือโซนตะวันตก กำลังเร่งมืออย่างเต็มที่เพื่อไปให้ถึง 20% ก่อน และเร่งฉีดตามไปให้ครบ แต่ไม่มีรายใดมีอาการข้างเคียงรุนแรง

นพ.เฉวตสรร กล่าวต่อว่า สำหรับวันนี้มีการฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกาให้แก่นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และอาจารย์แพทย์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน เนื่องจากชัดเจนว่า อาการลิ่มเลือดอุดตันไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน และมีการศึกษาวิจัยว่ามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งองค์การอนามัยโลกยอมรับ โดยความปลอดภัยได้รับการยืนยันว่า ผู้รับวัคซีนสามารถทนต่อผลข้างเคียงได้ดี

ส่วนประสิทธิภาพป้องกันอาการป่วยจากโควิด หลังรับวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว 22 วันจะมีประสิทธิผล 76% ยาวนานอย่างน้อย 90 วัน คือฉีดเข็มแรกผ่านไป 3 สัปดาห์ก็มีประสิทธิผลป้องกันการป่วยได้แล้ว และจะมีประสิทธิผลสูงขึ้นตามการเว้นระยะระหว่างเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 โดยห่างกันประมาณ 12 สัปดาห์ขึ้นไป หรือประมาณ 3 เดือน จะมีประสิทธิผลสูงเป็น 81.39% และยังพบผลการทดลองทางคลินิกหรือการวิจัยในมนุษย์ ยืนยันว่าป้องกันการติดเชื้อที่มีอาการรุนแรง ป้องกันอาการป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาใน รพ. และเสียชีวิตได้ถึง 100% ในเข็มแรก

นพ.เฉวตสรร กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมีผลการศึกษาล่าสุดในอังกฤษพบว่า ในกลุ่มอายุ 80 ปีขึ้นไป สามารถลดอาการป่วยที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลได้มากถึงร้อยละ 80 หลังจากการฉีดเข็มแรก ดังนั้น การที่ประเทศไทยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีครั้งนี้ มาจากที่บริษัทแอสตราเซเนกา เลือกเอง ซึ่งในวันนี้ (16 มี.ค.) ทางแอสตราฯ ยังมองว่าการฉีดวัคซีนเข็มแรกวันนี้เป็นความร่วมมือที่ดี และไม่ได้หวังกำไร แต่เพื่อให้มีการฉีดเพื่อป้องกันโรคให้มากที่สุด

“แม้จะมีการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว แต่ก้ยังต้องคงมาตรการป้องกันโรคที่เคยทำกันมา ทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง เพราะเห็นได้จากหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ที่แม้จะมีการฉีดวัคซีนจำนวนมากแล้ว ยังมีพบการติดเชื้อวันละเกือบ 400 ราย ยอดสะสมประมาณ 9.6 หมื่นราย เสียชีวิตเพิ่มอีก 6 ราย หรืออย่างอิตาลีก็เตรียมล็อกดาวน์ทั่วประเทศช่วงอีสเตอร์ แม้ยุโรปจะมีการฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรค่อนข้างมาก แต่อาจมีการระบาดระลอกใหม่ ดังนั้น การ์ดอย่าตกจึงมีความสำคัญ” นพ.เฉวตสรรกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายงานการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของ สธ. ระบุว่า ผู้ที่รับวัคซีนจำนวน 50,388 ราย แยกเป็นบุคลากรทางการแพทย์/สาธารณสุข รวมอสม. 29,634 ราย เจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย 10,281 ราย บุคคลที่มีโรคประจำตัว 2,640 ราย และประชาชนในพื้นที่เสี่ยง 7,833 ราย

ส่วนผู้มีอาการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับ “วัคซีนโควิด19” จำนวน 4,595 ราย ทุกรายอาการไม่รุนแรง แยกเป็น ปวดเมื่อยเนื้อตัว 19% คลื่นไส้ 14% ปวดศีรษะ 12% อักเสบบริเวณที่ฉีด 10% เหนื่อย 10% อาเจียน 7% ไข้ 8% ท้องเสีย 6% ผื่น 5% กล้ามเนื้ออ่อนแรง 3 % และอื่นๆ 6%

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน