ปลัด สธ.คาด กทม.-ภูเก็ต 2 จว.แรกดันโควิดเข้าสู่โรคประจำถิ่นก่อน เหตุฉีดวัคซีนครอบคลุม รักษาพยาบาลได้ดี ให้ฝ่ายวิชาการทำตัวชี้วัด หวังเป็นประเทศแรกๆ ในโลก

เมื่อวันที่ 21 ก.ย. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงสถานการณ์โควิด 19 ในไทย ว่า เรามีการคาดการณ์หลังผ่อนคลายมาตรการ 1 เดือน หากไม่มีมาตรการอื่นตัวเลขจะเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับที่ผ่านมาตัวเลขผู้ป่วยใหม่ลดลงค่อนข้างช้า ก็พยายามใช้มาตรการควบคุม อย่างชุดตรวจ ATK 8.5 ล้านชุดที่แจกให้กลุ่มเสี่ยง คนละ 2 ชุด แม้ไม่สามารถป้องกันโรคได้ แต่ขอให้นำมาใช้ตรวจเพื่อการคัดกรอง รายงานเข้าสู่ระบบทั้งผลลบและผลบวก

ซึ่งขณะนี้จากการติดตามเราพบว่าเตียงเพียงพอ ส่วนเรื่อง Covid Free Setting ก็มีความสำคัญมาก รวมถึงการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention) เพราะแม้ฉีดวัคซีนเข็ม 3 ก็ยังติดเชื้อได้ เราต้องระวังการติดเชื้อทั้งคนที่ฉีดและยังไม่ฉีด แต่คนที่ฉีดจะช่วยลดเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิต ซึ่งทุกคนต้องช่วยกัน อยากให้ตระหนักเพราะอาจป่วยไม่มีอาการ โดยเฉพาะคนที่ฉีดวัคซีนอาจไปติดเชื้อไม่รู้ตัว เพราะไว้ใจกัน เปิดหน้าคุยกัน ประมาท อาจเกิดการติดเชื้อและแพร่ระบาดได้

“โดยนโยบายของรัฐบาล เราไม่อยากให้ล็อกดาวน์ประเทศอยู่แล้ว เราพยายามหามาตรการควบคุมโรคโดยไม่ต้องล็อกดาวน์ ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะตั้งแต่คลายล็อกดาวน์ร้านอาหารเปิดได้ เราก็ดีใจ เศรษฐกิจก็เดินได้ เราก็จะคงสภาพนี้ไว้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความร่วมมือของประชาชนทุกคน ในการช่วยกันดูแล นอกจากตัวเองแล้วยังได้ดูแลประเทศ ดูแลคนรอบข้างได้เท่ากับคนในระบบสาธารณสุขดูแล” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว

ปลัดสธ. กล่าวว่า การผ่อนคลายมาตรการเราอาจใช้ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่มาเป็นตัวแปรน้อยลง เราดูศักยภาพการรองรับผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญ ที่ผ่านมาเราเข้าใจโรคดีขึ้น จัดระบบดูแลรักษาที่บ้านขึ้นมา ดังนั้น ถ้าเจ็บป่วยแล้ว รพ.รับได้ ก็จะไม่เกิดปัญหา เราพยายามแยกผู้ติดเชื้อกับผู้เจ็บป่วยเหมือนกรณีติดเชื้อ HIV หากไม่ป่วยก็ไม่เรียกว่าโรคเอดส์ ซึ่งผู้ติดเชื้อไม่มีอาการหรืออาการเล็กน้อยก็ดูแลที่บ้าน หากอาการปานกลางหรือรุนแรงก็มาระบบ รพ. ซึ่งเราคาดว่ามีประมาณ 20% ที่ต้องใช้รพ.

ซึ่งที่แสดงให้เห็นใน กทม.ติดเชื้อหลัก 1-2 พัน แต่เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรกว่า 10 ล้านคน ก็ถือว่ายังต่ำ โดยเตียงสีแดงใน กทม. ก็เหลือหลายร้อยเตียง สีเหลืองเหลืองหลักพัน และสีเขียวก็เหลือเยอะมาก ดังนั้น ประชาชนเข้าใจระบบการรักษาดูแลตัวเองที่บ้านแล้ว โดยไม่ให้ระบาดในบ้าน ซึ่งทำได้ดี

นพ.เกียรติภูมิ กล่าวอีกว่า เราติดตามสถานการณ์ตัวเลขป่วยใหม่อยู่ว่าจะลดลงถึงไหน ซึ่งคงไม่ถึงศูนย์ แต่ยังติดเชื้อในรูปแบบ Endemic หรือว่า โรคประจำถิ่น เป็นโรคที่ไม่มีความรุนแรง ซึ่งมีปัจจัยเกี่ยวกับวัคซีนที่ต้องฉีดให้ครอบคลุมกับประชากร เช่น กทม. ครอบคลุมคนกว่า 90%

ส่วนผู้สูงอายุครอบคลุมอีก 90% และเข็ม 2 เกือบ 40% ดังนั้น กทม.จะเป็นจังหวัดแรกๆ ในการเป็นโมเดลโรคประจำถิ่น คือระบาดไม่ได้ แต่ทำให้ป่วยหนักไม่ได้ ก็จะนำไปสู่การดูแลประชาชนอีกรูปแบบหนึ่ง เช่นเดียวกับภูเก็ต ดังนั้น 2 จังหวัดนี้จะเคลื่อนเข้าสู่ Endemic ได้เป็นจังหวัดแรกๆ

“เรามีฝ่ายวิชาการที่ติดตามประเมินสถานการณ์โรคประจำถิ่นอยู่ เราต้องมาศึกษาว่าจะทำให้เกิดปรากฎการณ์หนึ่งไปสู่อีกปรากฎการณ์ได้อย่างไร เช่น ฉีดวัคซีนครอบคลุม การดูแลรักษาพยาบาลได้อย่างดี ป้องกันตัวเองได้ดี ก็จะกลายเป็นว่า เมื่อโรคไม่ระบาด ระบาดไม่รุนแรง ก็จะเป็นโรคประจำถิ่น

ซึ่งไทยเราจะทำเป็นประเทศแรกๆ ในการนำแผนต่างๆ มาทำตัวชี้วัด เพื่อกำกับให้เกิดผลลัพธ์ตามคาดหมาย เพื่อให้โรคสงบได้เร็ว แต่เราเพิ่งรู้จักเขาครั้งแรก ก็อาจระบาด การกลายพันธุ์ต่างๆ เราก็ต้องระวังและคำนึงเสมอ” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว

เมื่อถามถึงการกำหนดเวลาเข้าสู่โรคประจำถิ่น นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า เรามีจุดมุ่งหมายที่เราจะทำมาตรการ แผนงานต่างๆ ด้วยการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม ไม่ให้ประชาชนเจ็บป่วยมาก ในช่วงนั้นก็หมายถึงเราควบคุมโรคได้ ก็จะสอดคล้องกับโรคประจำถิ่น การติดเชื้อไม่ทำให้เราลำบาก เราก็จะมาสนใจกับผู้ป่วยแทน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน