ศบค. ย้ำโอไมครอน เป็นสายพันธุ์กลายพันธุ์ ที่น่ากังวลสูง-แพร่กระจายได้เร็ว จับตามาตรการเทสแอนด์โก เข้าไทย อาจต้องกลับมาตรวจ RT-PCR

เมื่อวันที่ 29 พ.ย.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) หรือ ศบค. แถลงว่า การติดตามการแพร่ระบาดเชื้อกลายพันธุ์ โอไมครอน ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศชัดเจนว่านับเป็นสายพันธุ์ที่มีความน่ากังวลสูง ทำให้กระทรวงสาธารณสุขต้องปรับมาตรการเร่งด่วน

สำหรับการติดเชื้อของต่างประเทศทั่วโลก หลายประเทศตัวเลขขยับขึ้นสูง เช่น สหราชอาณาจักร ตุรกี เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี ซึ่งประเทศเหล่านี้ขอเน้นย้ำว่ามีตัวเลขประชากรฉีดวัคซีนแล้วค่อนข้างสูง และก่อนหน้านี้หลายประเทศประกาศผ่อนคลายมาตรการ อนุญาตประชาชนเลิกสวมหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย เปิดร้านอาหารได้อิสระ แต่ขณะนี้จะเห็นได้ว่าหลายประเทศกลับมาคุมเข้มมาตรการอย่างเข้มงวดใหม่ ทำให้เกิดการประท้วงในหลายพื้นที่

ในส่วนเอเชีย ทิศทางตัวเลขยังทรงๆ อยู่ มาเลเซียมีตัวเลขลดลงอย่างต่อเนื่อง ที่น่าจับตามองขณะนี้คือ เวียดนามที่ตัวเลขกระโดดขึ้น สปป.ลาว มีตัวเลขเกินพันมากว่า 2 สัปดาห์แล้ว

การแพร่ระบาดสายพันธุ์โอไมครอน นอกจากทวีปแอฟริกาที่มีรายงานพบเชื้อยืนยัน หลายประเทศในยุโรปตอนนี้มีรายงานแล้วทั้ง อิตาลี เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ เบลเยี่ยม สาธารณรัฐเช็ก ล่าสุดมีรายงานยืนยันคือเดนมาร์ก ซึ่งพบเชื้อจากประชาชนที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มแอฟริกา

ส่วนเอเชีย มีที่ฮ่องกง และอิสราเอล ซึ่งขณะนี้อิสราเอลประกาศปิดประเทศเรียบร้อยแล้ว และออสเตรเลียก็มีรายงานยืนยันพบโอไมครอนแล้วเช่นกัน

จากการที่องค์การอนามัยโลก เป็นห่วงสายพันธุ์กลายพันธุ์โอไมครอน ที่มีรายงานว่าแพร่กระจายได้เร็วยิ่งกว่าสายพันธุ์เดลต้า ถึงแม้จะยังไม่มีการรายงานความรุนแรง แต่องค์การอนามัยโลกย้ำว่าในกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุและมีโรคประจำตัว ถือว่ามีความเสี่ยงน่าเป็นห่วง และเน้นย้ำว่าปัจจัยสำคัญในการเกิดเชื้อกลายพันธุ์ มักจะเป็นประเทศที่มีประชากที่ได้รับวัคซีนค่อนข้างต่ำ มีการกระจายวัคซีนไปยังประชาชนน้อยมาก ทำให้ภูมิคุ้มกันน้อย เป็นเหตุให้เกิดเชื้อกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงย้ำว่าหากใครไม่รีบรณรงค์ให้ประชาชนฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรมากที่สุด เราอาจเป็นที่หนึ่งที่เกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อได้

สำหรับผู้เดินทางจากประเทศแถบแอฟริกาหลายประเทศ ตัวเลขที่รายงานวันที่ 1-27 พ.ย.64 สะสมอยู่ที่ 1,007 รายที่เดินทางเข้าประเทศไทย และทั้งหมดนี้มีผลตรวจ RT-PCR เมื่อเดินทางถึงประเทศไทยเป็นลบ ซึ่งตอกย้ำว่ามาตรการสาธารณสุขของไทยในการคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศ การคงมาตรการเหล่านี้ไว้ ถือเป็นการคัดกรองตรวจจับเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับการปรับมาตรการเข้าไทยของทวีปแอฟริกาที่ประกาศเมื่อวันที่ 28 พ.ย. แบ่งกลุ่มประเทศแอฟริกาเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก เป็นกลุ่มประเทศที่มีรายงานเชื้อชัดเจนแล้ว ได้แก่ บอตสวานา เอสวาตินี เลโซโท มาลาวี โมซัมบิก นามิเบีย แอฟริกาใต้ และซิมบับเว มีประกาศชัดเจนว่าไม่อนุญาตประชาชนจาก 8 ประเทศนี้ลงทะเบียนเพื่อขอเข้าไทย

แต่จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ลงทะเบียนมาก่อนล่วงหน้าแล้ว ต้องเข้าสู่กระบวนการกักตัว 14 วัน ตรวจ RT-PCR 3 ครั้ง และมีการประกาศเพิ่มว่า 8 ประเทศนี้ หลังวันที่ 1 ธ.ค.64 คือตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามไม่ให้เข้าประเทศไทย ยกเว้นเฉพาะคนไทย

กลุ่มที่สอง คือผู้เดินทางจากทวีปแอฟริกา นอกเหนือจาก 8 ประเทศ มีเงื่อนไขว่าเดินทางเข้าไทยได้ โดยแซนด์บ็อกซ์ ต้องกักตัวเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ลงทะเบียนขอเข้าราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย.เป็นต้นไป หากลงทะเบียนมาก่อนหน้านี้แล้ว จะต้องกักตัว 14 วัน ตรวจ RT-PCR 3 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม กรณีมาถึงเมืองไทยก่อนหน้านี้ เช่น มีจำนวนหนึ่งเดินทางมาถึงวันที่ 15 พ.ย. นับถึงวันที่ 5 ธ.ค. ขอให้เจ้าหน้าที่ เจ้าพนักงานโรคติดต่อเฝ้าระวังและติดตามอาการคนกลุ่มนี้ให้ครบ 14 วัน ขณะนี้มีการประสานงานทั้งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เกือบ 200 ราย ซึ่งสามารถติดตามได้ทั้งหมด ในส่วนของกลุ่มที่สองนี้ที่เดินทางถึงไทย 6 ธ.ค.เป็นต้นไป ต้องเข้าสู่กระบวนการกักตัว 14 วัน ให้ครบตามกำหนด

ที่ประชุม ศบค. เมื่อวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา พูดถึงการทบทวนการประเมินนักท่องเที่ยวเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย และได้ประกาศ 16 ธ.ค.64 จะตรวจโดยใช้ ATK แทน เทสแอนด์โก ด้วยเหตุผลที่กระทรวงสาธารณสุข ประเมินสถานการณ์และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงต้องขอให้ทุกคนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ว่าจะคงตรวจ RT-PCR ไว้จนถึง 16 ธ.ค.64 แต่จะเปลี่ยนเป็น ATK ตามมติ ศบค.หรือไม่นั้น ยังต้องติดตาม เพราะอาจเปลี่ยนแปลงได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน