คดีฆาตกรรมอันน่าสะเทือนใจ ได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์สารคดีอาชญากรรม ฉายที่ Netflix กระแสตอบรับดี จนมีแฟนคลับพากันส่งจดหมายรักให้ฆาตกร!

“American Murder: The Family Next Door” ภาพยนตร์สารคดีอาชญากรรม สร้างจากเค้าโครงจริงของครอบครัวหนึ่ง มีสามีภรรยาชื่อว่า “คริส วัตส์” และ “ชานานน์ วัตส์” ทั้งคู่มีลูกสาวที่น่ารักด้วยกัน 2 คน คือ “เบลล่า” ลูกสาวคนโตวัย 4 ขวบ และ “เซเล็ต” ลูกสาวคนเล็กวัย 3 ขวบ ดูเผิน ๆ เหมือนจะเป็นครอบครัวอบอุ่นธรรมดาทั่วไป แต่เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นเมื่อ “ชานานน์” และลูกสาวทั้ง 2 ได้หายตัวไปอย่างลึกลับจนนำไปสู่คดีฆาตกรรมที่น่าหดหู่ใจ

ย้อนรอยคดีฆาตกรรมอันน่าสะเทือนใจ

หลังจากมีลูกสาวด้วยกัน 2 คน ชีวิตครอบครัวเป็นไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งในปี 2018 “ชานานน์” ได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่ 3 และในช่วงเวลานี้เธอได้นำลูกสาวทั้งสองไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ ส่งผลให้เธอต้องอยู่ห่างจาก “คริส” ผู้เป็นสามี จากระยะห่างนี้ทำให้เธอสังเกตได้ว่า สามีเริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ต่อมาในช่วงเดือนกรกฎาคม ทั้งคู่ได้เริ่มทะเลาะกัน และคริสได้นอกใจเธอด้วยการแอบคบกับเพื่อนร่วมงาน

การหายตัวไปของ “ชานานน์” และลูก ๆ

ในวันที่ 13 สิงหาคม “นิโคล” เพื่อนของ “ชานานน์” ได้มาหาที่บ้าน เนื่องจากวันนี้มีนัดพบแพทย์เพื่อตรวจครรภ์ แต่เมื่อถึงเวลา”ชานานน์” กลับไม่มาตามนัด “นิโคล” พยายามติดต่อแต่ไม่สามารถติดต่อได้ จึงรีบขับรถมาที่บ้านทันที

พอลองสังเกตเข้าที่โรงรถ พบว่ารถของ”ชานานน์” ยังจอดอยู่ข้างใน จึงคิดว่าเธอยังอยู่ข้างในบ้าน แต่อาจจะหมดสติหรือเป็นลมจนไม่สามารถออกมาเปิดประตูได้ เนื่องจากทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน “นิโคล” จึงพอทราบรหัสเข้าบ้านของเธอ

เมื่อ“นิโคล” ได้ทำการกดรหัส จะมีข้อความแจ้งเตือนไปยัง “คริส” ทันทีที่เขาได้รับข้อความ เขารีบโทรกลับและบอกว่าอย่าเพิ่งเปิดประตู อย่าเพิ่งแจ้งตำรวจ ซึ่งจุดนี้ทำให้ “นิโคล” เริ่มสงสัยว่าเหตุใดจึงต้องห้ามแจ้งตำรวจ

เรื่องราวไปถึงหูตำรวจ

เมื่อติดต่อ “ชานานน์” ไม่ได้สักที ในที่สุด “นิโคล” ตัดสินใจโทรแจ้งตำรวจ และทางตำรวจได้โทรหา “คริส” และแจ้งว่าต้องการเข้าบ้าน เมื่อ“คริส” เดินทางมาถึง เขาไม่ได้มีอาการรีบร้อนใด ๆ ระหว่างพาสำรวจบ้าน เขาไม่มีการแสดงท่าทีว่าเป็นห่วงแต่อย่างใด ตำรวจได้สอบถามข้อมูลคร่าว ๆ เขาเลยบอกว่า “ชานานน์” เคยบอกว่าจะพาลูก ๆ ไปบ้านเพื่อนแต่ไม่รู้ว่าเพื่อนคนไหน

กล้องวงจรปิดพบพิรุธ

ระหว่างเดินสำรวจบ้าน ได้มีเพื่อนบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาหา และบอกว่าที่บ้านได้ติดกล้องวงจรปิดไว้ สามารถให้ดูได้เผื่อเป็นประโยชน์ ในตอนนี้คริสเริ่มแสดงอาการลุกลี้ลุกลน เมื่อดูกล้องวงจรปิดจบ “คริส” ได้เดินออกไปทันที

เข้าสู่กระบวนการสืบสวน

วันที่ 14 สิงหาคม การหายตัวไปของ “ชานานน์” และลูก ๆ เริ่มทำให้คนสนใจ ทั้งตำรวจ เจ้าหน้าที่เอฟบีไอและสำนักข่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่เอฟบีไอได้ทำการสอบถาม “คริส” เบื้องต้น เขาได้เล่าถึงปัญหาครอบครัว ปัญหาการเงินที่ต้องเผชิญ ต่อมาตำรวจได้ลงความเห็นว่า “คริส” เป็นเพียงคนเดียวที่จะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไป จึงอยากให้ทำการตรวจสอบโดยใช้เครื่องจับเท็จ

การสอบสวนที่น่าอึดอัดนำไปสู่การสารภาพบาป

วันที่ 15 สิงหาคม เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ได้นัดเข้าทดสอบเครื่องจับเท็จ เมื่อเริ่มทำการทดสอบ ปรากฎว่าผลออกมาเป็นเท็จอยู่ 3 ข้อ
คำถามที่ 1 “คุณโกหกเวลาที่เห็นเป็นภรรยาครั้งสุดท้ายใช่หรือไม่” ตอบ ไม่ใช่
คำถามที่ 2 “คุณรู้ใช่มั้ย ว่าภรรยาและลูกๆของคุณอยู่ที่ไหน” ตอบ ไม่ใช่
คำถามที่ 3 “คุณใช่มั้ย ที่ทำให้ภรรยาและลูกๆของคุณหายตัวไป ตอบ ไม่ใช่

พอได้ผลดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงพาตัวไปยังห้องที่มีการบันทึกภาพและเสียง โดยเจ้าหน้าที่ได้พยายามทำการเจรจาหว่านล้อมเพื่อให้สารภาพ เวลาผ่านไปถึง 6 ชม. จนเขาเริ่มรู้สึกกดดันและขอเวลาพัก ซึ่งระหว่างพักนั้นได้ขอให้พ่อของเขาเข้ามาหา

เมื่อพ่อเดินเข้ามา“คริส” ได้สารภาพว่าได้เขาลงมือฆ่าบีบคอและนำศพไปฝังที่ทำงาน ในเวลาเดียวกันทางตำรวจได้ทำการแกะรอยจีพีเอสรถของเขา พบว่าได้มีการขับรถไปยังบริเวณบ่อน้ำมัน ในบริเวณนั้นได้พบผ้าคลุมที่นอนที่มีรอยเปื้อนอยู่ด้วย

คำสารภาพนำไปสู่การตัดสินคดี

วันที่ 6 พฤศจิกายน ได้มีการนำคดีความเข้าตัดสินในชั้นศาล ระหว่างนั้น “คริส” ได้สารภาพอีกว่า ตนได้ฆ่าภรรยาก่อนด้วยการบีบคอ แล้วลูกสาวคนโต“เบลล่า” ได้มาเห็นพอดี เลยถามว่าทำอะไรแม่ ตนจึงบอกไปว่าแม่ไม่ค่อยสบายจะพาไปหาหมอ และได้พาลูกทั้ง 2 คนไปด้วย

เมื่อขับถึงบริเวณบ่อน้ำมัน ตนได้นำศพ “ชานานน์” ไปฝัง แล้วเริ่มลงมือฆ่าลูก โดยเริ่มจากลูกสาวคนเล็กก่อน เขาใช้ผ้าห่มอุดหน้าลูก ทำให้ขาดอากาศหายใจ และนำศพเอาไปหย่อนที่บ่อน้ำมันบ่อแรก แล้วเดินกลับมาที่รถ หมายจะฆ่า “เบลล่า” ลูกสาวคนโตต่อทันที

ตอนที่เปิดประตูรถ “เบลล่า” ได้เอ่ยถามว่า จะต้องเป็นเหมือนน้องใช่มั้ย แต่เขาไม่ได้มีท่าทีสลดใจกับคำถามนั้น เขาได้เอาผ้าห่มอุดที่จมูกลูกทันที ซึ่งระหว่างนั้น “เบลล่า” ได้พยายามต่อสู้ เจ้าหน้าที่พบร่องรอยการกัดลิ้น เมื่อลูกสาวหมดลมหายใจจึงนำศพไปหย่อนที่บ่อข้าง ๆ แล้วขับรถกลับไปทำงานปกติ จากคำสารภาพนี้ส่งผลต่อการตัดสินคดีให้เขามีโทษจำคุกตลอดชีวิตแทนที่การถูกประหารชีวิต เพราะมีส่วนช่วยในการสืบสวนคดีง่ายขึ้น

จากคดีดังสู่การนำมาสร้างภาพยนตร์

เรื่องราวสะเทือนใจนี้ได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์สารคดี มีชื่อว่า “American Murder: The Family Next Door” มีการนำภาพจากคลิปวิดีโอจริง ทั้งจากฝั่ง “ชานานน์” และตำรวจ มาเป็นส่วนหนึ่งของสารคดี ถูกชมว่าสมจริงจนผู้ชมหดหู่ไปตาม ๆ กัน

จากความสมจริงนี้ทำให้ผู้ชมได้เห็นถึงใบหน้าของฆาตกรอย่าง “คริส” หลังจากที่ Netflix ฉายสารคดีเรื่องนี้ออกไป ในวันที่ 30 กันยายน 2020 ทางเรือนจำที่ “คริส” ถูกคุมขังอยู่ ก็ได้รับจดหมายจากแฟน ๆ ของสารคดีเรื่องนี้ เขียนถึงเขามากันอย่างมากมาย ไม่ได้มีเพียงจดหมายมีคำด่าทอเท่านั้น แต่ยังมีจดหมายประเภท แสดงความเห็นอกเห็นใจ รู้สึกสงสาร รวมไปถึงสาว ๆ ที่เขียนจดหมายเข้ามา บ้างอยากทำความรู้จัก อยากเจอ รวมไปถึงขั้นอยากมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ “คริส” อีกด้วย

 

อาการหลงรักฆาตกร
อาการที่สาว ๆ หลายคนเป็นคือ อาการหลงรักฆาตกร สามารถเรียกได้ว่า Hybristophilia เป็นอาการทางจิตของคนที่หลงรักหรือคลั่งไคล้ฆาตกร เป็นความหลงใหลแบบอยากจะมีความสัมพันธ์ อยากแต่งงานด้วย เคยมีกรณีสาวคนหนึ่ง เมื่อเห็นการจับกุมฆาตกรในทีวี ก็เกิดอยากมีเพศสัมพันธ์กับฆาตกร จนเขียนจดหมายไปหาฆาตกรในคุก อย่างที่สาว ๆ หลายคนได้ทำการเขียนจดหมายหา “คริส” นั้นเอง

ขอบคุณที่มา https://sites.google.com/a/samakkhi.ac.th/psychology-human-action-mind/hybristophilia

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน