นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลประกอบการปี 2563 บริษัทมั่นใจว่ารายได้ทั้งปีจะทำได้มากกว่า 10,000 ล้านบาทตามเป้าหมายที่วางไว้ หลังจากผลประกอบการไตรมาส 3 ปีนี้บริษัทมีรายได้และกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ ไม่รวมรายได้พิเศษจากการขายที่ดินรอการพัฒนา อยู่ที่ 3,389 ล้านบาท และ 524 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้าพบว่าเติบโตขึ้น 308% และ 18,285%

สำหรับผลประกอบการจากการดำเนินงานปกติงวด 9 เดือนแรก ปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 7,412 ล้านบาท และกำไรสุทธิรวม 1,238 ล้านบาท เติบโตขึ้น 102% และ 304% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ซึ่งปัจจัยมาจากยอดรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและโครงการบ้านที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจากลูกค้าทั้งไทยและต่างประเทศ เช่น โครงการ โนเบิล บี19 สุขุมวิท โครงการโนเบิล เพลินจิต โครงการโนเบิล บี 33 สุขุมวิท และโครงการโนเบิล รีโคล สุขุมวิท 19 เป็นต้น

“โดยเฉพาะยอดโอนจากลูกค้าต่างประเทศไปกว่า 2,000 ล้านบาท และส่งผลให้บริษัทมีส่วนแบ่งตลาด 37% ของยอดขายรวมจากทุกผู้ประกอบการในการขายคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯและปริมณฑลสำหรับลูกค้าต่างชาติในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้”

นายธงชัย กล่าวว่า ส่วนความคืบหน้าการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ ภายใต้แบรนด์นิว (NUE) รวม 3 โครงการ ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ประกอบด้วย นิว โนเบิล งามวงศ์วาน, นิว โนเบิล รัชดา-ลาดพร้าว และ นิว โนเบิล ไฟฉาย-วังหลัง โดยสามารถทำยอดขายพรีเซลได้กว่า 40-60% ในแต่ละโครงการ ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมียอดขายสะสมกว่า 6,100 ล้านบาท ซึ่งกว่า 3,000 ล้านบาท เป็นยอดขายจากโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ และสามารถรับรู้รายได้ทันที ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมียอดขายที่รอการรับรู้ ณ สิ้นไตรมาส 3 กว่า 15,000 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ จากหุ้นละ 3 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของการซื้อขายหุ้นของบริษัท และยังมีมติอนุมัติให้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญใหม่ของบริษัทรุ่นที่ 2 อายุ 3 ปีหรือ NOBLE-W2 โดยไม่คิดมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทในสัดส่วน 4 หุ้นสามัญเดิม : 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ ไม่เกิน 342,353,381 หน่วย ในราคาแปลงสิทธิที่ 8 บาท เริ่มใช้สิทธิได้ในเดือนมิ.ย. 2565 เพื่อรองรับการดำเนินงานในอีก 3 ปีข้างหน้า สู่การเป็นผู้นำ 5 อันดับแรกของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นไตรมาส อยู่ที่ เท่ากับ 1.28 เท่า ลดลงจาก 1.58 เท่าจากสิ้นปี 2562

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน