นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 เชื่อว่าผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วหลังจากปี 2563 ผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ภาพรวมตลาดติดลบ 30% โดยคอนโดมิเนียมกระทบมากสุดติดลบ 40% ส่วนตลาดบ้านแนวราบติดลบประมาณ 10% แม้ว่าปีนี้ผลกระทบของโควิด-19 ยังคงอยู่ แต่เริ่มมีแสงสว่างจากวัคซีน หากได้ผลดีคาดว่าจะทำให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวฟื้นตัวดีขึ้น กำลังซื้อของผู้บริโภคค่อยๆ กลับมา ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ปีนี้ยังเป็นอีกหนึ่งปีที่เหมาะกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์

ทำให้แผนการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้เตรียมเปิด 31 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 34,000 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 27 โครงการ และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ โดยในปีนี้บริษัทยังเตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ พร้อมแบบบ้านใหม่ ฟังก์ชันใหม่ เพื่อตอบโจทย์ยุคปกติใหม่ อีกทั้งในเดือนก.พ. เตรียมเปิดตัว แอพพลิเคชัน Supalai Sabai เพื่อให้การบริการลูกค้าที่ดีขึ้นอย่างครบวงจร อาทิ การผ่อนดาวน์ การบริการหลังการขาย เป็นต้น

โดยทิศทางการพัฒนาโครงการของบริษัทในปีนี้ นอกจากเน้นจะกระจายการพัฒนาโครงงการที่อยู่อาศัยใน 19 จังหวัด โดยปีที่ผ่านมาเพิ่งเปิดโครงการที่จ.พิษณุโลก และพระนครศรีอยุธยา ซึ่งการตอบรับค่อนข้างดี รวมถึงยังกระจายการพัฒนาโครงการเพื่อรองรับทุกกลุ่มเป้าหมายทั้งลูกค้ารายได้ปานกลาง ซึ่งเป็นตลาดหลัก และยังมีฐานลูกค้ารายได้สูงรวมถึงกลุ่มรายได้ปานกลาง-รายได้น้อยด้วย และด้วยจุดเด่นด้านความแข็งแกร่งด้านการเงินของบริษัทซึ่งล่าสุดมีต้นทุนการเงินค่อนข้างต่ำหรืออัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.9% ต่อปี ทำให้บริษัทได้ทยอยซื้อที่ดินในจังหวัดใหม่ๆ เพิ่มเติมเพื่อรองรับการพัฒนาในอนาคต

สำหรับเป้าหมายการดำเนินของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะมียอดขาย 27,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 9% ขณะที่รายได้ในปีนี้จะทำสถิติสูงสุดในรอบหลายปี หรืออยู่ที่ราว 28,000 ล้านบาท โดย 16,200 ล้านบาท จะเป็นรายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมที่บริษัทเปิดขายไปเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว และการก่อสร้างจะแล้วเสร็จปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่มียอดขายเกือบ 100% และอยู่ในทำเลที่ดี อาทิ ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร ติดรถไฟฟ้าสายสีทอง, ศุภาลัย ริเวอร์ แกรนด์ พระราม 3, ศุภาลัย เวอรันดา ภาษีเจริญ และศุภาลัย ออเรียนทัล สุขุมวิท 39 เป็นต้น

นายไตรเตชะ กล่าวถึงมาตรการอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่เตรียมประกาศใช้ล่าสุดซึ่งยังคงเหมือนปี 2563 โดยจำกัดเพดานราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ถือเป็นเรื่องที่ดีต่อภาพรวมตลาด แต่อย่างไรก็ดี หากขยายไปถึงบ้านราคา 5 ล้านบาท จะช่วยผลักดันตลาดได้ดีขึ้นมาก เนื่องจากบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท คิดเป็น 30-35% ของตลาด ส่วนบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ครอบคลุม 70-80% ของตลาด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน