นายวิโรจน์ เจริญตรา รองประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีบิลท์ จํากัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจปี 2564 บริษัทมั่นใจว่าจะเติบโตต่อเนื่องและก้าวกระโดด จาก
ปี 2563 ที่แม้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และรับเหมาก่อสร้างจะต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จากวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่บริษัทยังมีรายได้รวม 4,279.37 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.37% จาก ปี 2562 ที่มีรายได้ 4,295.43 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมีการรับรู้รายได้จาก บริษัท พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่พัฒนาโครงการพรรณนา พุทธมณฑลสาย 3 บ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ ได้รับการตอบรับที่ดีมาก โดยเริ่มรับรู้รายได้มาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ขณะที่กำไรสุทธิ ปี 2563 อยู่ที่ 165.67 ล้านบาท ลดลง 39.04% จากปีก่อนหน้า

แต่ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทยังมีมติจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดให้ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท หรือจำนวนไม่เกิน 123.48 ล้านบาท คิดเป็นเงินปันผล 74.07% ของกำไรสุทธิ ถือเป็นการจ่ายเงินปันผลที่สูงกว่านโยบายปันผลที่กำหนดไว้ไม่เกิน 50% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระผู้ถือหุ้นในภาวะที่ต้องเผชิญกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลวันที่ 7 พ.ค. และกำหนดจ่ายเงินปันผลภายในวันที่ 21 พ.ค.นี้ โดยจะเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติในการประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้นวันที่ 22 เม.ย.นี้

“โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และรับเหมาก่อสร้าง ทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่บริษัทพยายามดำเนินธุรกิจและลดต้นทุน ตลอดจนค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อชดเชยกับยอดขายที่ลดลง ทำให้ปีที่ผ่านมาบริษัทยังสามารถทำกำไรสุทธิได้ โดยเป็นกำไรจากส่วนงานรับเหมาก่อสร้างเป็นสำคัญ โดยเฉพาะงานรับเหมาก่อสร้างที่เน้นงานระดับซูเปอร์ ไฮเอนด์ ที่ต้องใช้เทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญระดับสูง ซึ่งมีคู่แข่งน้อย ขณะที่โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับซูเปอร์ไฮเอนด์ ยังคงมีความต้องการในตลาด เพราะไม่ได้รับผลกระทบหรือได้รับผลกระทบไม่มากจากภาวะเศรษฐกิจ จึงทำให้บริษัทยังมีงานรับเหมาก่อสร้างต่อเนื่อง”

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ที่สำคัญช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา เจ้าของโครงการมีการใช้รูปแบบเชิญผู้รับเหมาเข้าไปเจรจาเพียง 1-2 ราย และไม่ได้แข่งขันกันที่ราคาต่ำสุด แต่เป็นการเลือกจากการบริหารจัดการและวางแผนร่วมกับเจ้าของโครงการเพื่อให้งานก่อสร้างออกมาดีที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ในราคาที่สมเหตุสมผล นอกจากนี้ ยังเป็นผลจากการขยายธุรกิจมาลงทุนทำโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบของบริษัทเองได้เดินมาถูกทางแล้ว เพราะลูกค้ากลุ่มนี้ ที่ต้องการบ้านระดับบนและระดับกลาง ยังคงมีความต้องการซื้อบ้านและเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจหรือได้รับผลกระทบไม่มาก

โดยปัจจุบันบริษัทมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (แบ็กล็อก) ทั้งงานรับเหมาก่อสร้างและธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วง 3 ปี คือปี 2564-2565 และช่วงครึ่งปี 2566 โดยปีนี้จะรับรู้รายได้ในสัดส่วนราว 50-60%

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน