นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจ 3 ปี ตั้งเป้ารายได้ภายในปี 2567 ให้กลับไปที่ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่บริษัทเคยทำได้เมื่อปี 2558 ภายใต้โครงสร้างรายได้ที่เปลี่ยนแปลงไปเป็น 50% จากรายได้การขายคอนโดมิเนียมและบ้านแนวราบในสัดส่วนเท่ากัน ซึ่งเมื่อเทียบช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา บริษัทพึ่งพิงรายได้จากการขายมากถึง 98% ทำให้มีความเสี่ยงเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ส่วนกำไรสุทธิปี 2563 อยู่ที่ 717.75 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในส่วนของคอนโดมิเนียม ปีนี้จะมีการปรับดีไซน์ใหม่ที่ต่างไปจากเดิมให้มีความเป็นตัวของตัวเอง สร้างความภูมิใจในการเป็นเจ้าของ ขณะเดียวในส่วนของรายได้จากการบริหารชุมชนตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเป็น 30% โดยนอกจากจะขยายการรับบริหารคอนโดฯ ให้บริษัทอื่นที่นอกเหนือแอล.พี.เอ็น. แล้ว จะมีการขยายขอบข่ายการให้บริการด้านงานวิศวกรรมอาคารสูง งานรักษาความปลอดภัย และบริการอื่นๆ ที่จะทยอยเพิ่มเข้ามาอีกในอนาคตด้วย นอกจากนี้ สัดส่วนรายได้อีก 10% ที่เหลือจะมาจากค่าเช่า ซึ่งมี 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จยังขายไม่ได้ บริษัทจะนำมาปล่อยเช่า และอีกส่วนมาจากค่าเช่าสำนักงานซึ่งเป็นธุรกิจร่วมทุน

ทั้งนี้ เป้าหมายการดำเนินงานในปี 2564 ซึ่งถือเป็นปีแห่งการสร้างฐาน ดังนั้นยังคงเป้าหมายรายได้ใกล้เคียงปี 2563 โดยยอดขาย 1 หมื่นล้านบาท สัดส่วน 70% เป็นคอนโด และ 30% เป็นบ้านแนวราบ ขณะที่รายได้กว่า 7.3 พันล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจขายคอนโดฯ และบ้าน 6 พันล้านบาท ธุรกิจบริการ 1.1 พันล้านบาท และ ค่าเช่ากว่า 200 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนรายได้จากการขาย 80% รายได้จากบริการและให้เช่า 20%

โดยปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 9 โครงการ มูลค่ารวม 8,500 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดฯ 3 โครงการ มูลค่ารวม 3 พันล้านบาท เน้นกลุ่มลูกค้าที่เข้าถึงได้ง่ายประมาณ 3-5 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการลุมพินีวิลล์ จรัลฯ 22, ลุมพินี มิกซ์ นราธิวาส-เซ็นทรัล พระราม 3 และ อีกโครงการทำเลพระราม 9 ส่วนบ้านแนวราบ 6 โครงการ แบ่งเป็น บ้านระดับราคา 3-5 ล้านบาท ทำเลเมือง 3 โครงการ 2.5 พันล้านบาท ประกอบด้วย ลุมพินี ทาวน์เพลส และ ลุมพินี ทาวน์ วิลล์ และอีก 3 โครงการ มูลค่า 3 พันล้านบาท เป็นบ้าน 365 บ้านเดี่ยวในเมือง ราคา 30-50 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทยังมีสต๊อกคอนโดฯ และบ้าน รวม 1.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ 9 พันล้านบาท และอีก 6 พันล้าบาท เป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าตลาดยังมีความต้องการซื้อ แต่ในกลุ่มผู้ซื้อคอนโดฯ และบ้านสร้างเสร็จมากกว่า 50% เป็นกลุ่มที่ซื้อเพื่อหวังกำไรจากส่วนต่างราคาในอนาคต เพราะมองว่าราคาที่อยู่อาศัยที่เสนอขายในขณะนี้อยู่ในจังหวะที่ได้ของราคาถูก อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ก็ค่อนข้างต่ำเอื้อต่อการลงทุน ซึ่งในส่วนของบริษัทก็คงต้องมีการทยอยทำโปรโมชั่นราคาออกมาต่อเนื่องเพื่อระบายสต๊อก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน