นายเนี่ย ซงเชียน ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการขายและการตลาด ประจำภูมิภาคไทย บริษัท ริสแลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้ายอดขายโครงการเดอะ ลิฟวิ่น รามคำแหง คอนโดมิเนียม 42 ชั้น มูลค่ารวม 4.9 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทเปิดขายเมื่อ ส.ค. 2563 ล่าสุดมียอดขายแล้วกว่า 1,300 ล้านบาท หรือราว 565 ยูนิต จากทั้งหมดกว่า 1,900 ยูนิต บนที่เกือบ 9 ไร่ พร้อมกับเตรียมเริ่มการก่อสร้างอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 มี.ค.นี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2567

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าบริษัทเปิดการขายในสถานการณ์ที่ยังมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้กระทบกำลังซื้อ ประกอบกับทำเลรามคำแหงและบางกะปิ ได้อานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้า 3 เส้นใหม่ ทั้งสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สมุทรปราการ, สายสีส้ม ช่วงมีนบุรี-ศูนย์วัฒนธรรมฯ และสายสีน้ำตาล ช่วงศูนย์ราชการนนทบุรี-แยกลำสาลี ส่งผลให้ทำเลในโซนรามคำแหง และบางกะปิ เรียกได้ว่าเป็นย่านเมืองธุรกิจส่วนต่อขยาย ทำให้ในช่วงที่ผ่านมามีผู้ประกอบการเข้าไปเปิดโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนมาก โดย ณ สิ้นปี 2563 อยู่ที่ 25,900 ยูนิต ขณะที่มียอดขายหรืออัตราการดูดดซับเฉลี่ยที่ 40% และภายในปีนี้จะมีโครงการเปิดใหม่อีกไม่น้อยกว่า 4 โครงการ รวมจำนวนห้องชุดกว่า 1,100 ยูนิต ซึ่งในส่วนของโครงการลิฟวิ่น รามคำแหง ถือว่ามีความได้เปรียบทั้งในแง่ราคาขายซึ่งเริ่มที่ 1.6 ล้านบาท ที่ตั้งโครงการใกล้สถานีลำสาลี 100 เมตร ซึ่งสามารถเชื่อมต่อรถไฟฟ้าถึง 3 สาย ทำให้ยอดขายค่อนข้างไปได้กีเมื่อเทียบกับโครงการในย่านเกียวกัน

นายเนี่ย ซงเชียน ยังกล่าวด้วยว่า แม้บริษัทจะเป็นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากฮ่องกงโดยผู้ถือหุ้นเป็นต่างชาติ 100% แต่การพัฒนาโครงการจะมุ่งเน้นตลาดลูกค้าในประเทศเป็นหลัก ในขณะที่กลุ่มลูกค้าต่างประเทศ ไม่เฉพาะคนจีน แต่ยังรวมถึงคนเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ซึ่งยังมีมุมมองที่ดีต่ออสังหาริมทรัพย์ในไทย และพร้อมจะกลับมา เนื่องจากมองว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพโดยเฉพาะหากรัฐบาลเปิดให้ต่างชาติที่มีใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่ามีสุขภาพ เหมาะสมต่อการเดินทาง (Fit to Fly) หรือมีการออกวัคซีนพาสปอร์ต ให้กับต่างชาติ ตลอดจนการกระจายวัคซีนโควิด และรัฐบาลมีการเปิดให้สายการบินต่างชาติมาลง ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยก็จะกลับมา

สำหรับผลการดำเนินงานของริสแลนด์ ปี 2563 มียอดขายกว่า 7,400 ล้านบาท จากโครงการคอนโดมิเนียม 4 โครงการ โครงการมิกซ์ยูส 2 โครงการ และโครงการบ้านเดี่ยว 1 โครงการ รวมทั้งหมด 7 โครงการ ส่วนแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทยังมีความมุ่งมั่นที่จะเติบโตในตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเทศไทยอย่างต่อเนื่องตามแผนเดิมที่ได้วางไว้ ที่จะเปิดโครงการใหม่อย่างน้อยปีละ 2-3 โครงการ แต่เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 ยังคงอยู่และส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการศึกษาและวิเคราะห์การพัฒนาโครงการใหม่ๆอย่างถี่ถ้วน เพื่อที่จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาด โดยเฉพาะในด้านของราคา ทำเลที่ตั้งของโครงการ และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน