นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW เปิดเผยว่า บริษัทมีความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน และเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ รองรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งโครงการแนวสูงและแนวราบในอนาคต โดยมี บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งบริษัทเตรียมจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 206 ล้านหุ้น คิดเป็น 27.07% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียก ชําระแล้วทั้งหมดหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า ในปลายเดือนเม.ย.นี้ คาดว่าจะเปิดจองหุ้นไอพีโอของ ASW จำนวน 206 ล้านหุ้น ได้ และคาดว่าจะนำหลักทรัพย์เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายในไตรมาส 2 นี้

อย่างไรก็ดี แม้เศรษฐกิจในขณะนี้ยังไม่สดใสนัก ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องพึ่งพิงภาวะเศรษฐกิจ แต่เชื่อมั่นว่านักลงทุนจะให้การตอบรับหุ้น ASW เพราะดูได้จากช่วงที่ผ่านมา พบว่าหุ้นที่เคยปรับตัวลงไปมากๆ แต่หลังจากเริ่มมีการฉีดวัคซีนโควิด-19 และจะเริ่มมีการทยอยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา ทำให้ราคาหุ้นทั่วโลกต่างทะยานขึ้นทุบสถิติเดิม ไม่ว่าจะเป็นหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว เรือสำราญ สายการบิน คาสิโน แม้แต่หุ้นแบรนด์เนมต่างๆ

ประกอบกับรสนิยมผู้บริโภคเปลี่ยน หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในบ้านมากกว่าที่ทำงาน ซึ่งเป็นผลจากการทำงานจากบ้าน ทำให้หันไปเลือกการอยู่อาศัยในแบบแนวราบมากขึ้น และเชื่อว่าในระยะจากนี้ไปผู้บริโภคก็จะเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับความสะดวกในการเดินทาง ดังนั้นคอนโดมิเนียม ใกล้สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย หรือใกล้สถานีรถไฟฟ้า จะเป็นจุดขายที่สำคัญ

“ข้อดีของอสังหาฯ เมื่อปี 2563 ผู้ประกอบการต่างขายลดราคาลงมาใกล้ๆ ต้นทุน เพื่อตุนกระแสเงินสด ทำให้สต๊อกคอนโดฯ สร้างเสร็จถูกล้างออกไปมากแล้ว ดังนั้นมั่นใจว่า ASW ซึ่งมีจุดเด่นของโครงการ รวมถึงมีความหลากหลายของสินค้าทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดฯ ประกอบกับมีความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นได้ดีที่ประมาณ 40% เทียบอุตสาหกรรมเดียวกันอยู่ที่ 30% และความสามารถในการทำกำไรสุทธิที่ 20% แต่หากหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว ความสามารถในการทำกำไรลดลงไปบ้าง ก็ถือเป็นปกติ เพราะอาจมีเรื่องการแข่งขันที่รุนแรงเข้ามา ทำให้มีบ้างที่ต้องลดราคาเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดให้ได้” นายโอภาสกล่าว

ด้านนายกรมเชษฐ์ กล่าวต่อถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2564 คาดว่า จะเติบโตขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้จากการขายและบริการ 4,205.0 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 870.8 ล้านบาท จากการทยอยส่งมอบโครงการตามแผน โดยปัจจุบันมียอดขายรอโอน (แบ็กล็อก) อยู่ที่ 7,848 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ปี 2564 มูลค่า 5,302 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ถึงปี 2566 โดยในปี 2565 จะทยอยรับรู้ประมาณ 1,652 ล้านบาท และในปี 2566 จะทยอยรับรู้ 894 ล้านบาท

ส่วนแผนธุรกิจปีนี้บริษัทจะมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 6,694 ล้านบาท ประกอบด้วย เคฟทาวน์ ชิฟท์ บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด พัฒนาการ เคฟทียู บ้านภูริปุรี โฮมออฟฟิศ ลาดพร้าว 41 และ โครงการโมดิซ สุขุมวิท 50

ขณะเดียวกันในปีนี้บริษัทยังมีแผนจะเปิดตัว 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 10,850 ล้านบาท ประกอบด้วย เคฟ ศาลายา โมดิซ ไรห์ม คลาวด์ แอทโมซ บางนา เคฟ เอวา โมดิซ ศรีราชา และ โครงการ บ้านภูริปุรี โฮมออฟฟิศ ลาดพร้าว 41 รวมถึงยังมีโครงการคอนโดฯ และบ้านสร้างเสร็จพร้อมขาย มูลค่ารวม 4,094 ล้านบาท จาก 8 โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน