นายอุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 ยังคงไปในทิศทางเดียวกันการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ซึ่งปีนี้คาดว่าจีดีพีจะอยู่ที่ 2.7% ส่วนปีหน้า 3% แต่อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยลบทั้งเรื่องหนี้ครัวเรือนสูง ขณะที่ภาคการส่งออกก็ยังไม่มั่นใจว่า ท่าทีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ต่อนโยบายการค้ากับต่างปรเทศจะเป็นอย่างไร แต่มองว่าสัมพันธภาะระหว่างสหรัฐกับไทยค่อนข้างดี ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วภาพรวมการส่งออกของไทยก็ไม่น่าจะติดลบ ขณะเดียวกันการท่องเที่ยวก็ดีด้วย
รวมถึงหนี้ครัวเรือนจะลดลงได้มากแค่ไหน ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลอยู่ระหว่างแก้ปัญหานี้อยู่ เพราะหนี้ครัวเรือนทำให้คนอยากมีบ้าน แต่มีบ้านไม่ได้ เนื่องจากถูกธนาคารปฏิเสธสินเชื่อค่อนข้างมากถึง 50% ดังนั้น จะมีความต้องการบ้านในระดับ 3-4 ล้านบาท เหล่านี้ยังค้างอยู่ในตลาดอีกมาก และหากเศรษฐกิจดี แก้หนี้ครัวเรือนได้ รายได้ของผู้บริโภคก็จะดีขึ้น ภาพรวมตลาดก็น่าจะดีขึ้น
นายอุทัย กล่าวถึงทิศทางธุรกิจของแสนสิริ ปี 2568 ว่า สำหรับบ้านแนวราบยังคงมุ่งเน้นไปที่การเปิดตัวโคงการระดับกลางและบน ขณะที่คอนโดมิเนียม จะเน้นไปที่ตลาดใหญ่คือ 3 ล้านบาท รวมถึงจะมุ่งการทำตลาดภูเก็ตมากขึ้น ตลอดจนขอนแก่น พัทยา หัวหิน ตลอดจนเชียงใหม่ด้วยเช่นกัน ซึ่งกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจยังไม่ต่างจากปี 2567 มากนัก
โดยเฉพาะล่าสุด บริษัทได้เข้าไปตั้งสำนักงานสาขาแห่งที่ 2 ที่จ.ภูเก็ต โดยลงทุนกว่า 100 ล้านบาท เปิดตัว เดอะโซไซตี้ (The Society) พื้นที่พบปะ หรือ โซเชียล สเปซ ใจกลางย่านเชิงทะเล-บางเทา จ.ภูเก็ต เป็นพื้นที่จัดแสดงห้องตัวอย่างและสำนักงานขาย สำหรับรองรับลูกค้าแบบไพรเวต ของ 2 โครงการใหม่ ได้แก่ โครงการแคนวาส เชิงทะเล คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ สไตล์รีสอร์ต เฉพาะภูเก็ต มูลค่าโครงการ 1,800 ล้าน ตอบโจทย์บ้านหลังที่ 2 และโครงการเดอะ เทลส์ สตอรี่ วัน-บางโจ มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท รวมถึงข้อมูลอื่นๆ ของทุกโครงการแสนสิริในภูเก็ต อีกทั้งยังมี BEANS Coffee Roaster ร้านกาแฟ specialty และ VAMOSS ร้านอาหารสเปน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและสายฟู้ดดี้ตลอดวัน
ขณะเดียวกันธุรกิจของแสนสิริ ในจ.ภูเก็ต สร้างยอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ โดยในปี 2567 บริษัทคาดว่าจะมียอดขายจากภูเก็ต 2,000 ล้านบาท และปี 2568 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 4,000 ล้านบาท และในปีถัดๆ ไปยอดขายจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามการเปิดโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้น
“แสนสิริได้เข้าไปพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตมากว่า 13 ปี ล่าสุดเปิดโครงการทั้งสิ้น 27 โครงการหรือคิดเป็นยูนิต สะสม 8,300 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 26,590 ล้านบาท เนื่องจากเห็นศักยภาพในทุกด้านของภูเก็ต และการเข้ามาของแสนสิริในภูเก็ตครั้งนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณว่าแสนสิริจะอยู่ระยะยาว ทำให้ล่าสุดได้ปรับเป้าหมายเพิ่มโครงการใหม่เฉพาะในภูเก็ต เพิ่มขึ้นเท่าตัว โดยแผน 5 ปี เปิดโครงการทั้งหมด 27 โครงการ รวมมูลค่ารวม และมียอดขายสะสม 5 ปี 25,000 ล้านบาท”
อย่างไรก็ดี ไม่เพียงที่ภูเก็ตแต่บริษัทยังสนใจที่จะขยายการลงทุนในจ.พังงา และกระบี่ด้วย แต่ทั้งนี้ ต้องดูความชัดเจนของสนามบินอันดามัน จ.พังงา ว่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ เพราะถ้าสนามบินนี้เกิดขึ้นได้จะรองรับการขยายตัวของ 3 จังหวัด คือ ภูเก็ต พังงา และกระบี่