นางเกศมณี เลิศกิจจา รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะนายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตเครื่องสำอางมากว่า 60 ปี และรับจ้างผลิตให้กับแบรนด์ในประเทศยุโรปมากว่า 40 ปี แต่ผู้บริโภคไทยไม่ค่อยมั่นใจในสินค้าที่ผลิตในแบรนด์ไทย อีกทั้งปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ขอจดแจ้งสูตรเครื่องสำอางกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รวม 5 แสนสูตร จากจำนวนผู้ประกอบการกว่า 8,000 ราย

โดยปี 2559 มูลค่าตลาดเครื่องสำอางในไทยอยู่ที่ 2.8 แสนล้านบาท โดยเติบโต 10% จากปีก่อนหน้า และคาดการณ์ว่าในปีนี้จะเติบโตได้ราว 6-7% ส่วนหนึ่งเพราะกังวลเรื่องกำลังซื้อ ซึ่ง 60% ของมูลค่าตลาดดังกล่าว เป็นการจำหน่ายในประเทศ แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผิว 46% เส้นผม 16% เครื่องสำอาง 16% และน้ำหอม 3%

ขณะที่อีก 40% ของมูลค่าตลาดรวม หรือราว 1.12 แสนล้านบาท เป็นมูลค่าการส่งออกไปต่างประเทศ โดย 3 ประเทศแรก ที่ส่งออกไปมากที่สุดคือ ญี่ปุ่น 18% ฟิลิปปินส์ 7.7% และออสเตรเลีย 6.86% แต่อย่างไรก็ดี ตลาดที่น่าสนใจคือกลุ่มประเทศ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม หรือซีแอลเอ็มวี ซึ่งมีการเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง

“ในปี 2554 ไทยเป็นผู้ผลิตสินค้าเกี่ยวกับเส้นผมเป็นอันดับที่ 1 ของโลก และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเป็นอันดับ 12 ของโลก ส่วนในตลาดโลกไทย ครองอันดับ 17 ในฐานะผู้ผลิตและส่งออกเครื่องสำอาง และในระดับอาเซียน ไทยเป็นที่ 1 แต่ระดับเอเชีย ไทยเป็นที่ 2 รองจากประเทศเกาหลี”

ด้านนางอนุชนา วิชเวช ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการ บริษัท ยูบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด ในฐานะผู้จัดงานอาเซียนบิวตี้ 2017 กล่าวว่า แนวโน้มตลาดเครื่องสำอางในปีนี้ ตลาดยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากค่านิยมของผู้บริโภคในปัจจุบันต้องการเสริมภาพลักษณ์ให้ดูดีขึ้น มีรายได้สูงขึ้น และห่วงเรื่องสุขภาพมากขึ้นทำให้มองหาผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติมากขึ้น อีกทั้งจากตัวเลขของมูลค่าตลาดเครื่องสำอางทั่วโลกในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 9.3 ล้านล้านบาท โดยเติบโต 4.5% และคาดการณ์ในปีนี้จะเติบโตได้ราว 3.6% ทั้งนี้ เฉพาะมูลค่าตลาดอาเซียนอยู่ที่ประมาณ 5 แสนล้านบาท โดยในไทยมีมูลค่าเกินครึ่งหรือที่ 2.8 แสนล้านบาท

ซึ่งในปีที่ผ่านมาสมุนไพรไทยมีมูลค่าส่งออก 600 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าการส่งออกสารสกัดจากสมุนไพร 270 ล้านบาท แต่หากนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ผลิตจากสารสกัดสมุนไพรจะมูลค่าสูงกว่า 70,000 ล้านบาท ประกอบกับแนวโน้มสินค้าความงามจะต้องลดการใช้น้ำลง ทำให้แบรนด์ต่างๆ เริ่มปรับสูตรผลิตภัณฑ์ให้เป็นสูตรใช้น้ำน้อยไปจนถึงไม่ต้องใช้น้ำเลย

ตามมาด้วย แนวโน้มการใช้ผลิตภัณฑ์จากสารสกัดจากธรรมชาติซึ่งจะเห็นแบรนด์ต่างๆ เริ่มให้ความสำคัญ ตลอดจนแนวโน้มผู้บริโภคที่ใช้เครื่องสำอางจะเด็กลงเรื่อยๆ โดยเริ่มตั้งแต่อายุ 12-14 ปี ดังนั้น งานอาเซียนบิวตี้ 2017 จะเป็นเวทีเจรจาธุรกิจด้านความงามระดับอาเซียนที่เหมาะสำหรับนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และเอสเอ็มอี ที่มองหาโอกาสในการทำธุรกิจด้านความงาม

ภายในงานครบครันด้วยบูธแสดงสินค้ากว่า 250 บูธ จาก 25 ประเทศทั่วโลก เวทีเสวนาและหัวข้อสัมมนาจากผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา พร้อมให้คำปรึกษาและบริการด้านการทำธุรกิจความงามจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ธนาคาร และชี้แนะช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-29 เม.ย. ที่ไบเทค บางนา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ www.aseanbeautyshow.com หรือโทร. 0-2642-6911

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน