นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ทียู กล่าวว่า ปี 2559 ทียูโดยมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 7.3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ทำสถิติสูงสุดอยู่ที่ 134,375 ล้านบาท หรือ 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนับเป็นปีที่ 7 ติดต่อกันที่บริษัทฯ ทำสถิติยอดขายเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่กำไรสุทธิของบริษัทฯ ลดลง 0.9% จากช่วงเวลาเดียวกันปีที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 5,254 ล้านบาท จากการที่ปี 2558 ราคาวัตถุดิบปลาแซลมอนที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับราคาปลาทูน่าที่สูงกว่าประมาณการณ์ ส่งผลต่ออัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวลดลง ทียู จึงควบคุมต้นทุนต่างๆ อย่างเข้มงวด มีส่วนช่วยลดผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่สูง โดยอัตราค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายทั่วไป และค่าใช้จ่ายในการบริหาร ต่อการขายเท่ากับ 9.8% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

สำหรับปี 2559 ยอดขายในสหรัฐอเมริกายังคงมีบทบาทสำคัญต่อรายได้ของบริษัทฯ โดยมีสัดส่วน 39% ของยอดขายรวม ตลาดในประเทศไทยมีสัดส่วน 8% ในขณะที่ตลาดในยุโรปคิดเป็น 33% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นจาก 29% ในปี 2558 ทั้งนี้ ยอดขายในญี่ปุ่นคิดเป็น 6% ของยอดขายทั้งหมด ส่วนยอดขายที่มาจากผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของไทยยูเนี่ยนในปี 2559 ยังคงอยู่ที่ 42% โดยที่เหลือมาจากธุรกิจรับจ้างผลิต ยอดขายของผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ในปี 2559 เติบโตทั้ง 3 ธุรกิจหลัก โดยแยกเป็นยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปเพิ่มขึ้น 3.2% จากปี 2558 มาอยู่ที่ 61,043 ล้านบาท แยกเป็นยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นเพิ่มขึ้น 11% จากปี 2558 อยู่ที่ 55,832 ล้านบาท ส่วนยอดขายธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและสินค้ามูลค่าเพิ่ม ปรับเพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อน อยู่ที่ 17,500 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง การรวมยอดขายของ รูเก้น ฟิช ในประเทศเยอรมนี การรวมกิจการของ เชซ์ นูส์ ในประเทศแคนาดา และการส่งออกกุ้งของบริษัทที่ดีขึ้นในเดือนต.ค. ไทยยูเนี่ยนเข้าซื้อกิจการบริษัท เรด ล็อบสเตอร์ ซึ่งเป็นเครือภัตตาคารอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยเงินลงทุน 575 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 20.2 พันล้านบาท และจากการลงทุนดังกล่าวส่งผลให้ กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่า 7.7% ในไตรมาส 4/2559 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน