ศาลสั่งปรับเรือโชคชัยนาวี พร้อมยึดเรือ สินค้าบนเรือ มูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท หลังพบประมงผิดกฎหมาย แจ้งเข้าเทียบท่าและขนสินค้าขึ้นฝั่งไทยตั้งแต่ปี 2560 ชี้ไทยเอาจริงเดินหน้าตามเป้าฟรีไอยูยู เล็งยกระดับเป็นมาตรฐานอาเซียน
สั่งปรับ-ยึดเรือโชคชัยนาวี – พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย เปิดเผยว่าหลังจากที่กรมประมง ได้แจ้งจับ เรือโชคชัยนาวี 35 (CHOTCHAINAVEE 35) ตั้งแต่ เดือนมิ.ย. 2560 เนื่องจากพิสูจน์ได้ว่าเป็นเรือไร้สัญชาติ ที่เข้ามาเทียบท่าเรือประมงรวมทั้งขอนำสินค้าสัตว์น้ำขึ้นฝั่ง โดยเอกสารที่นำมาแจ้งไม่ตรงกับสัตว์น้ำที่อยู่บนเรือ ซึ่งไม่เป็นไปพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ประมง 2558 จึงส่งฟ้องศาลเป็นคดีการทำประมงผิดกฎหมายขาดการรายงานและไร้การควบคุม (ไอยูยู)
ทั้งนี้ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 ได้พิพากษาเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2562 โดย มี บริษัท GREEN LAUREL INTERNATIONAL SARL ในฐานะนิติบุคคล เป็นจำเลยที่ 1 นายศุภโชติ แสงสุขเอี่ยม อายุ 34 ปีเป็นจำเลยที่ 2 น.ส.สุรกาญจน์ แสงสุขเอี่ยม อายุ 61 ปี เป็นจำเลยที่ 3 บริษัทเอสวีจี ฟิชเชอรี่ ดีเวลล้อปเมนท์ จำกัด ในฐานะนิติบุคคล เป็นจำเลยที่ 4 นายวันชัย แสงสุขเอี่ยม อายุ 66 ปี เป็นจำเลยที่ 5 และนายประวิตร์ เกิดสุวรรณ์ อายุ 56 ปี เป็นจำเลยที่ 6
ทั้งหมดได้กระทำความผิดตามพ.ร.ก. ประมง มาตรา94 ,159 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ให้ลงโทษจำเลยดังกล่าวคนละ 131,189,400 บาท รวมทั้งยึดเรือมูลค่า 1,000 ล้านบาท และสินค้าสัตว์น้ำบนเรือ มูลค่า 500 ล้านบาทด้วย ถือว่าเป็นการตัดสินครั้งแรกหลังจากที่มีการบังคับใช้ พ.ร.ก. ประมง แสดงให้เห็นว่าไทยมีความเข้มงวดในการปฏิบัติด้านไอยูยู จะส่งผลให้ไทยก้าวไปสู่เป้าหมายไอยูยูฟรีได้เร็วขึ้น รวมทั้งมีความพร้อมที่จะยกระดับอาเซียนให้มีมาตรฐานเดียวกับไทย
ด้านนายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า เรือลำดังกล่าวเป็นเรือต่างชาติ แต่ขอเข้ามาเทียบท่าในไทย แม้ว่าจะมีชื่อเจ้าของเป็นคนไทย แต่ได้กระทำผิดกฎหมายทั้งของไทยและต่างชาติ การพิพากษาคดีนี้จึงเป็นการลงโทษโดยพ.ร.ก. ประมงเป็นครั้งแรก และแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยเอาจริงเรืองไอยูยู โดยเรือโชคชัยนาวี 35 นั้นถือรัฐ จีบูตี (Djibouti) แอฟริกา เข้ามาเทียบท่าเรือไทยตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2560 ซึ่งกรมประมงได้แจ้งให้จับกุมเนื่องจากสงสัยเป็นเรือไอยูยู รวมทั้งได้ทำหนังสือแจ้งไปยังเจ้าของ 3 ครั้งคือเมื่อวันที่ 6, 16, และ 27 มิ.ย. 2560 ระบุว่า ให้เจ้าของเรือหรือผู้ควบคุมเรือ จัดส่งพยานหลักฐานตามที่กำหนดไว้ในมาตร 69 วรรค 2 คือหลักฐานที่แสดงว่าเรือประมงมีใบอนุญาตให้ทำการประมงหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมงที่ออกโดยรัฐเจ้าของธงหรือรัฐชายฝั่ง และหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าไม่ได้ทำไอยูยู
ซึ่งหลังจากตัวแทนเจ้าของเรือส่งมาแล้วพบว่าไม่มีเอกสารหรือหลักฐานอื่นใดจากรัฐบาลกลางสาธารณรัฐโซมาเลียซึ่งเป็นรัฐชายฝั่ง ที่เรือดังกล่าวแจ้งว่าเข้าไปทำประมง โดยหลักฐานที่ทางเรือนำมาแสดงเป็นเอกสารการทำประมงรัฐ ปุนท์แลนด์ ซึ่งเป็นรัฐภายใต้โซมาเลียเท่านั้น และจากการตรวจสอบกฎหมายของโซมาเลีย โดยเอกสารที่ได้รับแจ้งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการประมงและกิจการทางทะเลของโซมาเลีย พบว่ากรทำประมงของเรือโชคชัยนาวี 35 ฝ่าฝืนกฎหมายของโซมาเลีย ด้วย
กล่าวคือ ฝ่าฝืนมาตรา 3 ที่กำหนดพื้นที่คุ้มครองชายฝั่งสำหรับชาวประมง ซึ่งเรือประมงต้องทำการประมงนอกเขต 24 ไมล์ทะเล ฝ่าฝืนมาตรา 12 ที่กำหนดให้การทำประมงในน่าน้ำโซมาเลียโดยเรือต่างชาติต้องได้รับใบอนุญาตทำการประมงจากรัฐบาลกลาง ซึ่งโชคชัยนาวี 35 ไม่มี อีกทั้งไม่ได้ติดตั้งระบบติดตามเรือ หรือ วีเอ็มเอส ไม่จัดทำสมุดบันทึกการทำประมง (Log book ) และรายงานเกี่ยวกับการทำการประมงต่อกระทรวงการประมงและกิจการทางทะเล
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบด้วยระบบ AIS ของเรือลำดังกล่าวยังพบว่า ได้เข้ามาทำการประมงในน่านน้ำของโซมาเลียตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ. 2560 ไม่เคยรายงานจำนวนคนประจำเรือ และคนประจำเรือไม่เคยได้รับอนุญาตตามาตรา 39 ของกฎหมายโซมาเลีย และยังฝ่าฝืนมาตรามาตรา 33 ที่ห้ามใช้อวนลากในน่านน้ำโซมาเลีย ด้วย
นอกจากนี้ กรมประมงได้รับรายงานจากพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าจำนวนสัตว์น้ำที่เจาของเรือแจ้งตามแบบร้องขอนำเรือประมงต่างประเทศเข้าท่า ว่ามีสินค้าสัตว์น้ำ รวม 448,000 กิโลกรัม ซึ่งเกินกว่าที่ได้รับใบอนุญาตของรัฐปุนท์แลนด์ที่ให้ทำประมงได้เพียง 270,000 กิโลกรัมเท่านั้น
รวมทั้งไม่มีเอกสารที่สามารถแสดงที่มาของสัตว์น้ำที่เป็นส่วนเกินได้ และในสมุดบันทึกการทำประมง เอกสารประกอบการขออนุญาตนำเข้าว่ามีสัตว์น้ำในกลุ่มปลาทูน่ารวมอยู่ด้วย ซึ่งโซมาเลียเป็นสมาชิกขององค์กรทูน่าแห่งมหาสมุทรอินเดีย หรือ IOTC แต่ไม่มีการรายงานว่าข้อมูลการจับทูน่าต่อรัฐบาลโซมาเลีย เพื่อรายงานต่อ IOTC ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ จากข้อมูลทั้งหมดถือได้ว่าเรือโชคชัยนาวี 35 มีการทำประมงไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งได้รับแจ้งจากรัฐ จีบูตี ที่เป็นเจ้าของธงว่าได้ถอนทะเบียนเรือลำนี้แล้วทำให้เรืออยู่ในสถานะไร้สัญชาติ