พาณิชย์พร้อมสู้ศึกสงครามการค้า สั่งหน่วยงานรับมือเต็มสูบ เรียกกลุ่มนักลงทุนและผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์และชิ้นส่วนมาหารือเบื้องต้น หลังพบได้รับผลกระทบมากที่สุด ก่อนหารือกับทูตพาณิชย์ทั่วโลกในช่วงปลายพ.ค. ปรับเป้าส่งออก

พาณิชย์ลั่นพร้อมสู้ศึกสงครามการค้า – น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เปิดเผยว่า จากการที่สหรัฐ ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากจีนเพิ่มเติม 2 ครั้ง มูลค่ารวมกว่า 5 แสนล้านเหรียญ และจีนประกาศขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐ ตอบโต้มูลค่าประมาณ 6 หมื่นล้านเหรียญ นั้น สนค. ได้ประเมินผลกระทบเบื้องต้นในส่วนของการขึ้นภาษีของสหรัฐ ที่ครอบคลุมสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญ พบว่าอาจทำให้มูลค่าการส่งออกไทยลดลงประมาณ 5.6-6.7 พันล้านเหรียญ เนื่องจากสินค้ากลุ่มนี้ครอบคลุมรายการที่ไทยส่งออกไปประเทศต่างๆ ประมาณ 46%

โดยตัวเลขดังกล่าว คำนวณจากทั้งการส่งออกไปสหรัฐ ทดแทนจีน การส่งออกไปจีน และการส่งออกสินค้าที่เป็นห่วงโซ่การผลิตจีนไปยังตลาดอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ไต้หวัน มาเลเซีย ฮ่องกง เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และเวียดนาม ซึ่งในกลุ่มสินค้า 2 แสนล้านเหรียญ ดังกล่าว การส่งออกไปสหรัฐ มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้เพิ่มขึ้น 9.2% การส่งออกไปจีนมีแนวโน้มลดลง 9.7% และการส่งออกไปประเทศที่สามที่เป็นห่วงโซ่อุปทานลดลง 7.5% โดยทั้งหมดเป็นตัวเลขของไตรมาสแรกปีนี้ ซึ่งยังถือว่ารับมือได้

ในขณะเดียวกัน พบว่าการส่งออกไปยังสหรัฐ อินเดีย และเวียดนาม มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ในปีนี้ จึงเป็นตลาดที่ต้องเร่งส่งออกทดแทนจุดเปราะบางอื่นๆ

น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวว่า เพื่อรับมือกับการส่งออกที่อาจจะลดลง สนค. ได้วิเคราะห์รายการสินค้าในรายละเอียด พบว่า ไทยมีสินค้าหลายตัวที่การส่งออกขยายตัวได้น่าพอใจ เช่น สินค้าเกษตรและอาหาร ผลไม้หลายชนิด เครื่องดื่มหลายประเภท ไก่ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เป็นต้น ซึ่งกลุ่มสินค้านี้แม้จะมีมูลค่าน้อย ไม่อาจชดเชยการหดตัวในสินค้าอุตสาหกรรมได้ทั้งหมด แต่การส่งออกสินค้าเหล่านี้ จะมีผลในทางจิตวิทยาต่อความเป็นอยู่ของประชาชน เนื่องจากมีผลต่อรายได้ของภาคเกษตรและธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) จึงควรเร่งผลักดันการส่งออกให้มากขึ้น

สำหรับสินค้ากลุ่มที่การส่งออกอาจลดลงมาก ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการส่งออกโดยนักลงทุนต่างชาติและไทยขนาดใหญ่ อาจจะต้องใช้มาตรการลงทุนเป็นเครื่องมือสนับสนุน โดยดึงดูดให้นักลงทุนจากทุกประเทศรวมทั้งจีนมาลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มากขึ้น แต่ต้องเป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ และให้หาทางส่งออกไปสหรัฐ และประเทศอื่นทดแทนการพึ่งตลาดจีน โดยรัฐบาลจะสนับสนุนการกระจายตลาดดังกล่าวอย่างเต็มที่

สำหรับกลุ่มสินค้ายานยนต์ อาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากมาตรการปกป้องสินค้า (เซฟการ์ด) ภายใต้มาตรา 232 (ความมั่นคง) ของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะประกาศวันศุกร์นี้ รวมทั้งจากความตกลง USMCA ที่มาแทน NAFTA จะมีผลใช้บังคับในต้นปี 2563 โดยกำหนดเงื่อนไข เข้มงวดขึ้น

สำหรับรายการสินค้าที่สหรัฐ ประกาศเพิ่มเติมเมื่อคืนวันที่ 13 พค. และรายการสินค้าที่จีนได้ประกาศตอบโต้สหรัฐ แล้วนั้น สนค. กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาว่า มีรายการใดที่ไทยสามารถแสวงหาโอกาสในการส่งออกเพิ่มได้ โดยเฉพาะมีสินค้าเกษตรอยู่หลายรายการ ผลกระทบจากสงครามการค้าไม่ได้กระทบไทยเพียงประเทศเดียว แต่ส่งผลไปทั่วโลก อาจทำให้ปริมาณการค้าโลกหดตัว รวมทั้งส่งผลต่อตลาดเงิน ตลาดทุน และราคาน้ำมัน การขึ้นภาษีตอบโต้กันระหว่างสหรัฐ และจีนเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเช่นไทย

“กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้นิ่งนอนใจเตรียมแนวทางการรับมือไว้ โดยน.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ รักษาราชการรมว.พาณิชย์ สั่งการให้กรมต่างๆ เตรียมพร้อม เช่น กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศให้ทำแผนรุกตลาดในสินค้าศักยภาพลงลึก และเร่งการพัฒนาการส่งออกผ่านออนไลน์ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเตรียมข้อมูลเรื่องมาตรการและอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี ที่ควรเร่งเจรจากรมการค้าต่างประเทศเตรียมมาตรการการค้าชายแดนและการขายข้าว และ สนค. เสนอแนวทางรับมือระยะสั้นและยุทธศาสตร์ระยะกลาง” น.ส.พิมพ์ชนก กล่าว

นอกจากนี้ รมช.พาณิชย์ ก็กำลังจะเดินทางไปอินเดีย เพื่อหาลู่ทางการขยายการส่งออกปาล์มน้ำมันเพิ่มเติม โดยอินเดียเป็นตลาดหนึ่งที่จะเพิ่มความสำคัญขึ้น จำเป็นต้องให้ผู้แทนระดับสูงไปกระชับความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง เป็นยุทธศาสตร์ที่ดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องรอรัฐบาลใหม่ แต่สำหรับเรื่องการเจรจาเปิดเขตเสรีทางการค้า (เอฟทีเอ) กับประเทศต่างๆ จะต้องรอรัฐบาลใหม่

นอกจากนี้ กระทรวงฯ จะเชิญกลุ่มนักลงทุนและผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์และชิ้นส่วนมาหารือเบื้องต้นก่อน เพราะเป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หรือรมช.พณ. เป็นประธาน ก่อนที่จะมีการประชุมหารือกับทูตพาณิชย์ทั่วโลกในช่วงปลายเดือนพ.ค. เพื่อกำหนดเป้าหมายส่งออกต่อไป

สำหรับเรื่องที่สหรัฐ เพ่งเล็งว่าไทยอาจะเข้าข่ายเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงินหรือ currency manipulator นั้น จากข้อมูลการส่งออกไปสหรัฐ ของฝ่ายไทย พบว่าแม้จะสูงขึ้นบ้าง แต่ไม่ได้อยู่ในระดับที่เห็นว่าสูงผิดปกติจากเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ตรงกันข้าม เงินบาทไทยค่อนข้างแข็งมากเทียบกับประเทศอื่นในเอเชีย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เองก็ยังได้แจ้งเตือนให้ผู้ประกอบการให้เร่งนำเข้าวัตถุดิบและเครื่องจักรและให้มีประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมาโดยตลอด

“สงครามการค้าครั้งนี้ ไม่ได้มีแต่สหรัฐ และจีนที่เจ็บตัวกัน แต่ผลกระทบกระจายไปทั่วโลก เจ็บตัวกันไปไม่มากก็น้อย ซึ่งไม่เป็นการดีกับการค้าโลกที่ยังเปราะบางอยู่ สนค. มองว่าความขัดแย้งของสองประเทศ มีรากเหง้าลึกกว่าเรื่องของการค้า เป็นการแข่งขันกันในด้านเทคโนโลยีและการมีอิทธิพลในทวีปเอเชียด้วย จึงอาจจะเป็นหนังเรื่องยาว ในส่วนของไทยแม้ว่าอาจจะทำให้การส่งออกลดลงบ้างในปีนี้ แต่ท่ามกลางปัญหา ก็ยังเห็นโอกาสอยู่หลายจุด เพราะเศรษฐกิจไทยและการส่งออกไทยมีพื้นฐานที่เข้มแข็ง สินค้าไทยหลายตัวมีมาตรฐานสูงและมีชื่อเสียงในตลาดโลก ขณะนี้เป็นโอกาสที่เราจะนำสินค้าไทยแทรกเข้าไปในหลายๆ ตลาด แม้ว่าระยะสั้นอาจจะต้องมีผลกระทบแรงต่อการส่งออก แต่มั่นใจว่า ถ้าทุกภาคส่วนร่วมมือกันก็จะรับมือได้อย่างแน่นอน” น.ส.พิมพ์ชนก กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน