ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษแห่งประเทศไทยโต้โดนปลด-ปมถกค่าโง่ทางด่วน ชี้ลาออกเองเพื่อยุติความขัดแย้ง

ประธานสร.กทพ.โต้โดนปลด – เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2562 นายชาญชัย โพธิ์ทองคำ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (สร.กทพ.) ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ กรณีกระแสข่าวคลาดเคลื่อนอ้างว่า ตนถูกที่ประชุมสร.กทพ. ปลดออกจากตำแหน่งระหว่างการประชุมสร.กทพ. เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากมีประเด็นความขัดแย้งเรื่องจุดยืนการต่อสู้การขยายสัมปทานทางด่วนของบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ไปอีก 30 ปี เพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทในการจ่ายค่าชดเชยค่าโง่ระหว่างกทพ.กับ BEM ว่า ขอชี้แจงว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง ขอให้แยกเรื่องนี้ออกเป็น 2 ประเด็น คือ 1. ในการประชุมวันที่ 11 มิ.ย. นั้นในที่ประชุมมีการหารือเกี่ยวกับท่าทีของสหภาพ สร.กทพ. เกี่ยวกับการแก้ไขข้อพิพาท ระหว่างกทพ. กับ BEM จริง เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับองค์กร และพนักงาน โดยเฉพาะเรื่องสวัสดิการและค่าตอบแทนที่เหมาะสม

นายชาญชัย กล่าวว่า วันดังกล่าว ในที่ประชุมมีความเห็นแตกกันเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายแรกเห็นว่าควรจะต้องเจรจาเพื่อยุติปัญหาที่ค้างมาตามที่ ครม. มีมติเร่งรัดออกมา และเพื่อหาทางออกให้กับองค์กร ไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยจำนวนมหาศาลตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหากับ กทพ.และพนักงาน ด้วยแก้ปัญหาโดยการขยายสัมปทาน และจบสิ้นทุกคดีความที่ฟ้องร้องกัน และฝ่ายรัฐก็ไม่ต้องจ่ายเงินออก ส่วนฝ่ายเอกชนก็ต้องยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขตามกรอบเจรจา อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายเห็นว่าควรต่อสู้คดีต่อ ให้จ่ายเงินชดเชยตามที่ศาลสั่งเป็นคดีๆ ไป และให้กทพ.ดำเนินกิจการทางด่วนด้วยตนเอง ซึ่งอาจจะส่งผลในเรื่องประสิทธิภาพและกระทบสวัสดิการของพนักงานลูกจ้าง โดยเฉพาะฝ่ายปฏิบัติที่แท้จริง

นายชาญชัย กล่าวว่า การประชุมมีความเห็นแตกต่างกันมาก จนเริ่มนำไปสู่ความขัดแย้งกันภายในองค์กร ตนในฐานะประธานสร.กทพ. และประธานที่ประชุม จึงเสนอว่าจะลาออกจากตำแหน่งเพื่อยุติความขัดแย้ง รวมทั้งปิดการประชุม โดยขั้นตอนตามข้อกำหนดของสร.กทพ. นั่นก็คือนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมกรรมการ สร.กทพ. ก่อนดำเนินการในขั้นตอนต่อๆ ไป จึงเท่ากับว่าการประชุมสิ้นสุดลงแล้ว และไม่ได้มีมติใดๆ ออกมาเพิ่มเติมอีก แต่กลับเป็นว่ามีการพยายามปล่อยข่าวว่าที่ประชุมลงมติปลดตนออกจากตำแหน่ง ทั้งที่จริงๆ แล้วคือการลาออก จึงเท่ากับเป็นการปล่อยข่าวที่เป็นเท็จ และทำให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียง

นายชาญชัย กล่าวอีกว่า อีกประเด็นคือเรื่องข้อพิพาทระหว่าง กทพ. และ BEM ซึ่งเรื่องดังกล่าวศาลปกครองฯ สั่งให้กทพ. จ่ายชดเชยค่าผิดสัญญาในคดีแรกกว่า 4 พันล้านบาท และยังมีอีกหลายคดีที่เตรียมขึ้นสู่ศาล ดังนั้นจึงเห็นว่าควรที่จะต้องยุติปัญหานี้ให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบต่อองค์กรและพนักงานในระยะยาว ส่วนวิธีการที่จะดำเนินการอย่างไร เป็นเรื่องที่ผู้ว่ากทพ. และบอร์ดจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ตอบคำถามกับสังคมให้ได้ว่าจะส่งผลอะไรกับประชาชน และองค์กร รวมทั้งตัวพนักงานเองด้วย ซึ่งแน่นอนว่า การดำเนินการทุกอย่างจะต้องถี่ถ้วนชัดเจน ไม่ให้องค์กรเสียเปรียบ หรือเกิดความเสียหายจนไม่สามารถเยียวยาได้

นายชาญชัย ยังกล่าวถึงกรณีที่พนักงานกลุ่มหนึ่ง ยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบการเจรจาตามแนวทางขยายสัมปทาน ว่า เป็นเรื่องที่ทำได้ ทุกอย่างจะต้องทำอย่างรอบคอบ โดยไม่ให้ฝ่ายรัฐเสียเปรียบ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการพยายามนำการเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องข้อพิพาทดังกล่าว เพราะหากจำได้องค์กร กทพ. ที่มีปัญหามากมาย ก็เพราะมีการเมืองเข้ามายุ่ง

“ที่ผ่านมาตั้งแต่ผมเข้ามาทำหน้าที่ประธานสหภาพกทพ. ก็พยายามที่จะผลักดันให้คุณภาพชีวิตและการทำงานของพนักงาน โดยเฉพาะระดับปฏิบัติจริงๆ ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่กลับถูกโจมตี หาว่าทรยศองค์กร จึงอยากให้คนในกทพ. พิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ไม่ตกเป็นเหยื่อของคนที่ต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ส่วนเรื่องจะจบข้อพิพาทอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่อยากให้เอาเรื่องการเมืองเข้ามาพัวพัน”นายชาญชัย กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน