ส.ค้าปลีก ชี้ค้าปลีกไทยซึมยาวคาดโตต่ำกว่าจีดีพี เหตุเศรษฐกิจไทยยังถดถอย ส่งออกทรุด-ท่องเที่ยวกระทบค่าเงินหยวนอ่อนบาทแข็งทำสินค้าไทยแพงคนจีนไม่มาเที่ยว

ค้าปลีกไทยซึมยาว – นายวรวุฒิ อุ่นใจ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวถึงภาพรวมค้าปลีกไทยในปีนี้ ว่า จะเป็นอีกหนึ่งปีที่ประสบปัญหาหลังจากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตต่ำกว่าตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) จาก 7-8 ปีก่อนหน้านี้ค้าปลีกไทยเติบโต 8-9% ต่อปี มากกว่าจีดีพีที่อยู่ 3-4% ต่อปี โดยในปีนี้ตัวเลขจีดีพีไทยอยู่ที่ 2.3% และทั้งปีปรับลงมาเหลือ 3% ดังนั้นค้าปลีกไทยปีนี้น่าจะเติบโตไม่ถึง 3% เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากสงครามการค้าโลกระหว่างจีนและสหรัฐ ที่มีแนวโน้มว่าจะยังไม่คลี่คลายลง และมองว่าจะเข้มข้นไปอีก 4-5 ปีข้างหน้า ทำให้เศรษฐกิจไทยจะยังได้ผลกระทบต่อไป

“สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ส่งผลกระทบต่อตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย คือ ภาคการส่งออก เมื่อจีนลดค่าเงินหยวน ทำให้เงินหยวนอ่อนตัว ในขณะที่เงินบาทแข็งค่า ส่งผลให้สินค้าไทยแพงขึ้น และมีราคาสูงกว่าจีน 20% ทำให้การแข่งขันในตลาดส่งออกลำบาก และเห็นได้ชัดตัวเลขการส่งออกล่าสุดของไทยติดลบ ส่วนอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อน อย่างภาคการท่องเที่ยวไทย ได้รับผลกระทบจากค่าเงินหยวนอ่อนและบาทแข็งเช่นกัน เพราะ 80% ของนักท่องเที่ยวที่มาไทย คือ จีน เมื่อสินค้าและบริการมีราคาแพงขึ้น จึงทำให้มาเที่ยวลดลง ซึ่ง 2 ปัจจัยหลักกดดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตลำบาก และจากนี้เราฝืดเคืองแน่ๆ”

อย่างไรก็ดี การที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนการบริโภค ด้วยการเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และการท่องเที่ยว มองว่าเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น ไม่ได้เกิดประโยชน์และช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งสมาคมฯ หวังว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจในเชิงโครงสร้าง เพราะการที่เศรษฐกิจที่ยังไม่พลิกฟื้นมาจากปัญหาเชิงโครงสร้าง และภาคค้าปลีกเป็นหนึ่งในโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย จึงอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมค้าปลีกค้าส่งอย่างจริงจัง เนื่องจากภาคค้าปลีกเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยภาคการค้าปลีก-ค้าส่ง มีสัดส่วนจีดีพีในด้านการผลิตเป็นที่สองรองจากภาคอุตสาหกรรม แต่ปัจจุบันค้าปลีกไทยเติบโตต่ำสุดในภูมิภาคอาเซียน

สำหรับอุปสรรคสำคัญ คือ เรื่องกำแพงภาษีนำเข้าที่สูงถึง 30-40% ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอยู่ที่ 10% และบางประเทศ 0% ในเร็วๆ นี้ ประเทศเวียดนามภาษีนำเข้าจะ 0% ทำให้จะได้เห็นคนไทย รวมทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติไปซื้อสินค้าที่เวียดนามแทนจะซื้อในไทย ดังนั้นรัฐบาลควรศึกษาและพิจารณาเรื่องการลดภาษีนำเข้าสินค้าแบรนด์หรูอย่างจริงจัง เพื่อกระตุ้นยอดจับจ่ายของคนไทยที่ถือว่าติดอันดับซื้อสินค้าแบรนด์เนมเป็นอันดับ 2 ของโลก และไปเที่ยวพร้อมช็อปปิ้งต่างประเทศปีละ 10 ล้านคน รวมทั้งเพิ่มยอดจับจ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในเมืองให้เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 1,500 บาทต่อครั้งเท่านั้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน