ศูนย์อำนวยการน้ำฯ ประเมินตั้งแต่ 15 ต.ค.นี้ ฝนตกหนักภาคใต้ตอนกลางฝั่งตะวันตก ประสานกำลังหน่วยงานเกี่ยวข้องติดตั้งเครื่องจักรรับมือพื้นที่เสี่ยงท่วมใน 14 จังหวัด จากสถิติที่เคยท่วมซ้ำและแนวโน้มฝนตกหนัก

สทนช.จับตาน้ำท่วม14จังหวัด – นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์อำนวยการน้ำเฉพาะกิจเพื่อติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ ครั้งที่ 6/2562 ว่า สถานการณ์ฝนในช่วงสัปดาห์นี้ ในตอนบนของประเทศเริ่มมีฝนลดลง ส่วนภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่องและตกหนักบางแห่ง แต่ถือว่าไม่มีอะไรน่ากังวล เนื่องจากมีเพียงฝนฟ้าคะนอง ไม่ใช่หย่อมความกดอากาศต่ำหรือร่องมรสุม จึงไม่มีความเสี่ยงในการเกิดน้ำท่วมไหลหลากครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ แต่อาจจะมีเกิดเป็นน้ำท่วมชุมชนหรือน้ำท่วมเฉพาะจุดเท่านั้น ซึ่งที่ประชุมได้ประเมินว่าน่าจะส่งผลดีในการช่วยกักเก็บน้ำในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสานตอนล่าง

คาดการณ์ว่าตั้งแต่ 15 ต.ค. นี้ จะเกิดฝนตกหนักในบริเวณภาคใต้ตอนกลางฝั่งตะวันตก โดยมีพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงท่วมและน้ำล้นตลิ่งทั้งหมด 14 จังหวัด 64 อำเภอ ประกอบด้วย ภาคตะวันออก 3 จังหวัด 6 อำเภอ ได้แก่ จ.จันทบุรี ชลบุรี ตราด ภาคตะวันตก 2 จังหวัด 14 อำเภอ ได้แก่ เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และภาคใต้ 9 จังหวัด 44 อำเภอ ได้แก่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร ระนอง พังงา กระบี่ ตรัง พัทลุง และสงขลา ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายกรมชลประทานและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เร่งเข้าติดตั้งเครื่องจักรเครื่องมือในพื้นที่เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือได้อย่างทันที

โดยเฉพาะ จ.นครศรีธรรมราช กระบี่ ภูเก็ต และสงขลา ที่อาจจะได้รับผลกระทบหนักกว่าพื้นที่อื่น เนื่องจากอิทธิพลของลมหนาวที่ปะทะเข้ามา ทำให้สภาพอากาศเกิดความผันผวนมาก ซึ่งขณะนี้ทางกรมชลประทานได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องจักรกลในพื้นที่ 16 จังหวัด ภาคใต้ จำนวน 1,106 หน่วย แบ่งเป็น เครื่องสูบน้ำ 453 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ำ 300 เครื่อง รถแทรกเตอร์และรถขุด 108 คัน และเครื่องจักรกลสนับสนุนอื่นๆ 245 หน่วย

สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมใน จ.อุบลราชธานี ขณะนี้เหลือพื้นที่ประสบภัยอยู่ทั้งสิ้น 3 อำเภอ คือ อ.เมือง อ.วารินชำราบ และอ.สว่างวีระวงศ์ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเร่งให้ความช่วยเหลือเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายโดยไว

ส่วนการเตรียมพร้อมรับมือฤดูแล้งอีกว่า สำหรับน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคไม่น่าจะมีปัญหา ซึ่งการประปาส่วนภูมิภาคได้ทำการสำรวจพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนในช่วงเดือนพ.ย. 2562 – เม.ย. 2563 รวมทั้งสิ้น 48 สาขา ใน 24 จังหวัด แบ่งเป็น ภาคเหนือ 7 จังหวัด 12 สาขา ภาคอีสาน 11 จังหวัด 28 สาขา ภาคตะวันออก 2 จังหวัด 4 สาขา และภาคใต้ 4 จังหวัด 4 สาขานั้น เบื้องต้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการบูรณาการร่วมประมวลจัดทำแผนแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ได้จัดทำแผนสำรองไว้ในส่วนที่มีการใช้แหล่งน้ำร่วมกัน

ขณะที่น้ำเพื่อทำการเกษตรในปีนี้ปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำหลายๆ แห่งมีค่อนข้างน้อย เช่น ในภาคอีสาน ซึ่งพื้นที่ที่มีปัญหายังคงเป็นพื้นที่เดิมๆ เช่น จ.ขอนแก่น ชัยภูมิ เป็นต้น รวมถึงขณะนี้ในภาคกลางเริ่มมีการปลูกข้าวรอบสองและพืชต่อเนื่องแล้ว ทั้งนี้ สทนช. ได้ประเมินจากปริมาณน้ำที่มีอยู่ในปัจจุบัน และพบว่าจะมีน้ำเหลือใช้สำหรับการปลูกพืชและข้าวรอบสองได้เพียงไม่เกิน 1,000 ล้านลบ.ม. เท่านั้น เพราะจำเป็นต้องกักเก็บน้ำไว้เพื่อให้เพียงพอตลอดฤดูแล้งหน้า โดยไม่ให้กระทบต่อน้ำอุปโภคบริโภค

ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด สทนช. ได้แจ้งข้อมูลปริมาณน้ำต้นทุนทั้งประเทศไปยังกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งเตรียมการและจัดทำแผนการเพาะปลูกให้มีความชัดเจน พร้อมประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรได้รับทราบโดยทั่วกันเพื่อป้องกันปัญหาการแย่งน้ำในอนาคต ซึ่งศูนย์อำนวยการน้ำเฉพาะกิจจะมีการหารือแนวทาง มาตรการในทางปฏิบัติที่ชัดเจนรายพื้นที่ในวันจันทร์ที่ 14 ต.ค.นี้ ด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน