ธ.ก.ส. ลุยอัด 4.8 แสนล้านบาท ปลุกเศรษฐกิจฐานรากช่วง 6 เดือน ดีเดย์แจกเงินประกันรายได้สวนยางวันแรก 5.2 หมื่นราย 176 ล้านบาท

ธ.ก.ส. ลุยอัด 4.8 แสนล้าน – นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 พ.ย.2562 ธนาคารจะโอนเงินงวดแรก ผ่านบัญชี ธ.ก.ส. ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา จำนวน 52,000 ราย เป็นเงิน 176 ล้านบาท ตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ซึ่งมีเป้าหมายเกษตรกรชาวสวนยางทั้งเจ้าของสวนและคนกรีดอย่างรวมกว่า 1.7 ล้านราย วงเงินรวม 23,472 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 3 งวด นอกจากนี้ ในส่วนโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปี 2562 /63 วงเงิน 20,940 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกร 4.31 ล้านราย ได้โอนเงินรอบที่หนึ่งไปแล้วทั้งสิ้น 349,300 ครัวเรือน เมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา รวมเป็นเงินกว่า 9,411 ล้านบาท

ส่วนโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ในอัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ วงเงิน 24,810 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกร 4.31 ล้านครัวเรือน โอนไปแล้ว 3.99 ล้านครัวเรือน หรือ 98% ของผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด เป็นเงิน 23,929 ล้านบาท มีเพียงเกษตรกรในภาคใต้ซึ่งฤดูกาลปลูกล่าช้ากว่าพื้นที่อื่นคาดว่าจะโอนเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนเม.ย. 2563

ขณะที่โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันปี 2562-2563 วงเงิน 13,000 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกร 263,107 ครัวเรือน โอนเงินรอบแรกไปเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา จำนวน 254,667 ครัวเรือน คิดเป็นเงิน 1,351 ล้านบาท โดยแบ่งจ่ายเป็น 8 งวด ทุกๆ 45 วัน รวมเม็ดเงินที่ธนาคารได้กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากไปแล้ว ทั้ง 4 โครงการ กว่า 34,600 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม มาตรการเป็นโครงการระยะสั้น ที่กระตุ้นราคาตลาดให้ปรับตัวสูงขึ้นเท่านั้น แต่ทางธนาคารได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนช่องทางตลาดระยะยาว และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนในระยะยาวด้วย

นายอภิรมย์ กล่าวว่า ในช่วง 6 เดือนจากนี้ นอกจากวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากตามนโยบายรัฐบาลประมาณ 8 หมื่นล้านบาท ยังมีเม็ดเงินปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าของธนาคาร อีกประมาณ 4 แสนล้านบาท รวมเป็น 4.8 แสนล้านบาท ที่จะอัดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยคาดว่าเม็ดเงินส่วนนี้จะสะพัดในเศรษฐกิจฐานรากเพิ่มขึ้นอีก 2.5 เท่า คิดเป็นเงิน 1.2 ล้านล้านบาท ตามที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประเมินไว้

นายอภิรมย์ กล่าวว่า ในโอกาสที่ ธ.ก.ส. ครบรอบ 53 ปี ธนาคารจะสนับสนุนโยบาย โก กรีน เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนผลิตอาหารปลอดภัย รวมถึงการทำเกษตรอินทรีย์ ตั้งแต่การปลูก สู่การแปรรูป การจำหน่าย การเพิ่มช่องทางการตลาด การผลักดันให้สินค้าเกษตรได้รับมาตรฐานรับรอง เพื่อสร้างมูลค่า และสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคมากขึ้น

“ปัจจุบันมีเกษตรกรที่ทำการผลิตเกษตรปลอดภัย (แกป) 774 ราย พื้นที่ 3,649 ไร่ เกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองการผลิตแบบมีส่วนร่วม (พีจีเอส) 2,569 ราย พื้นที่ 12,804 ไร่ และเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน ออร์แกนิก ไทยแลนด์ และมาตรฐานอื่นๆ 1,494 ราย พื้นที่ 5,736 ไร่ รวมการทำเกษตรอินทรีย์และเกษตรปลอดภัยทั้งสิ้น จำนวน 4,837 ราย พื้นที่ 22,189 ไร่”

นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก เช่น กรมวิชาการเกษตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มูลนิธิสมาพันธ์เกษตรอินทรีย์ไทย และสหกรณ์การเกษตรเพื่อการเกษตรลูกค้าธนาคาร ผลิตอาหารปลอดภัยและการทำเกษตรอินทรีย์สู่วงกว้าง ด้วยการจัดอบรมให้ความรู้เรื่องการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เพื่อให้สามารถส่งผลผลิต ไปสู่ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ หรือ โมเดิร์นเทรด พร้อมกับมีแผนเชื่อมโยงชุมชน 9 แห่งในการผลิต และนำร่องโครงการ 459 บ้านไร่ ขณะเดียวกันมอบหมายให้ ธ.ก.ส. ทุกจังหวัดดำเนินโครงการ โปรเจ็กต์ เบส เพื่อสนับสนุนเกษตรอินทรีย์อีก 78 โครงการ บนพื้นที่การเกษตร 126,441 ไร่

นายอภิรมย์ กล่าวว่า ในปีนี้ ธ.ก.ส. ยังเน้นดูแลด้านสิ่งแวดล้อม โดยจะเร่งยกระดับธนาคารต้นไม้ 6,836 ชุมชน สู่ชุมชนไม้มีค่า เพิ่มพื้นที่ป่าได้แล้วกว่า 1,974 ชุมชน และร่วมโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งปัจจุบันมีชุมชมเข้าร่วมแล้ว 4 แห่ง ได้แก่ บ้านท่าลี่ จ.ขอนแก่น บ้านถ้ำเสือ จ.เพชรบุรี บ้านนาซำจวง จ.หนองบัวลำภู และบ้านศรีเจริญ จ.พิษณุโลก คิดเป็นจำนวนที่กักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 150,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน