ไอเอ็มเอฟ ห่วงไทย ทำนโยบายแจกเงิน ติงไม่ควรแจกอย่างเดียว ต้องคิดถึงระยะยาว

วันท่ี่ 5 พ.ย. นางคริสตาลีนา กอร์เกียว่า กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในงาน “Joint BOT-IMF High level Conference” ว่า ขณะนี้ประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยด้านต่างประเทศและในประเทศ

โดยปัจจัยด้านต่างประเทศนั้น ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศที่เป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจ ถือเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน เป็นตัวเร่งให้เกิดเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ และส่งผลต่อการแข็งค่าของเงินสกุลต่างๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งล้วนก่อให้เกิดเป็นข้อจำกัดต่อขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน

ส่วนปัจจัยภายในประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ทั้งจากภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลานาน หนี้ภาคครัวเรือนในระดับสูง การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ความเหลื่อมล้ำในภูมิภาคต่างๆ และความจำเป็นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

กดติดตามไลน์ ข่าวสด official account ได้ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ทั้งนี้ มองว่าประเทศไทยโชคดีที่เสถียรภาพด้านต่างประเทศยังมีความเข้มแข็ง เงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง ถือเป็นกันชนที่ดี อีกทั้งยังมีขีดความสามารถเพียงพอที่จะใช้นโยบายการเงินการคลังเพื่อรับมือกับความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกได้ แต่ต้องเก็บไว้ใช้ในภาวะสถานการณ์ข้างหน้าที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ด้วย

โดยการเลือกใช้หรือการออกแบบนโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะต้องมีการใช้อย่างระมัดระวัง ไม่ใช่การให้เงินเพียงอย่างเดียว ต้องมีกลไกมารองรับ และควรคำนึงถึงการยกระดับภาคผลิตของประเทศ เป็นการใช้ความสามารถด้านการคลังเพื่อประโยชน์ในระยะยาวด้วย

ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงอย่างพร้อมเพรียงกันนั้น ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากความตึงเครียดทางการค้าที่สร้างแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ และการลงทุน นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ความขัดแย้งในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ที่ต่างสร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจโลก

ดังนั้น จึงเห็นว่าประเทศสมาชิกอาเซียนควรเตรียมความพร้อมสำหรับการทำนโยบายร่วมกัน ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว” นางคริสตาลีนา กล่าว

อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ความเสียหายจากสงครามการค้าก็ได้เกิดขึ้นแล้ว

โดยไอเอ็มเอฟได้ปรับลดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลง 0.8% มาเหลือที่ 3% ขณะที่ปีหน้าคาดว่าจะเติบโตได้ 3.4% ส่วนเศรษฐกิจในอาเซียนคาดว่าปีนี้จะเติบโตได้ 4.6% ลดลงจากที่เคยประเมินไว้ที่ 5% ขณะที่ปีหน้าคาดว่าจะเติบโตได้ 4.8%

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน