นักลงทุนรุ่นใหม่ เผยเหตุความวุ่นวายระหว่างสหรัฐ และอิหร่าน บวกกับสภาพคล่องในตลาดการเงินที่ยังล้นและดอกเบี้ยที่ยังไม่มีแนวโน้มขาขึ้น อาจดันราคาทองคำพุ่งแตะ 1,626 เหรียญ ขณะที่ราคาน้ำมันอาจพุ่งแตะระดับ 76 เหรียญต่อบาร์เรล

ทองคำราคาพุ่ง – สมาคมค้าทองคำรายงานว่า เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ราคาทองไทย เปิดตลาดพุ่งขึ้นมาทันที 350 บาท และ ครั้งที่ 2 เมื่อเวลา 09.16 น. ราคาทองได้ปรับเพิ่มขึ้น 450 บาท ทองคำแท่ง รับซื้อบาทละ 22,400 ขายออกบาทละ 22,500 บาท ส่วนทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 21,997.16 ขายออกบาทละ 23,000 บาท

ด้านนายณพวีร์ พุกกะมาน ผู้บริหารส่วนภูมิภาค จีเอ็มไอ เอดจ์ กลุ่มสถาบันการเงินจากประเทศอังกฤษ และผู้ก่อตั้ง Creative Investment Academy (CIA) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ กล่าวว่าผลกระทบจากการที่สหรัฐอเมริกาและอิหร่านออกมาประจันหน้ากันในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลต่อราคาสินทรัพย์สำคัญอย่างทองคำและน้ำมัน โดยราคาทองคำ ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 6.5% นับจากจุดต่ำสุดในวันที่ 9 ธ.ค. และกำลังจะทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 1,555 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. หรือกว่า 3 เดือนมาแล้ว โดยปัจจัยผลักดันในขณะนั้นคือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

“ล่าสุดหลังจากที่สหรัฐ ได้เปิดฉากการรบกับอิหร่านจนอาจจะนำไปสู่สงครามที่แท้จริง ได้ดันให้ราคาทองคำพุ่งอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากผ่านระดับ 1,555 เหรียญสหรัฐไปได้ ทองคำจะเข้าสู่ภาวะกระทิงอย่างเต็มตัวในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)”

ภาพระยะสั้น ทองคำเข้าเขตซื้อมากเกินไป (Overbought) การเปิดตลาดในเช้าวันจันทร์หากราคาไม่สามารถผ่าน 1,555 เหรียญสหรัฐ ไปได้จะเป็นโอกาสเปิด Short ทำกำไรระยะสั้นในขาลง แต่หากทำกำไรได้แล้วต้องรีบปิดสถานะ เพราะแนวโน้มระยะกลางทองคำน่าจะเป็นขาขึ้นจากความไม่สงบในตะวันออกกลาง

เป้าหมายระะยะกลางของทองคำอยู่ที่ระดับ 1,626 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นระดับราคาไฟโบนาชี่ 161.8 ในระยะสั้น แต่ถ้าใช้ไฟโบนาชี่ในระยะยาว ทองคำจะมีเป้าหมายต่อไปที่ 1,737 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นระดับไฟโบนาชี 261.8 และเป้าหมายสุดท้ายคือที่จุดสูงสุดเดิม 1,920 เหรียญสหรัฐ

“อย่างไรก็ตาม ค่อยๆ ดูกันไปตามสถานการณ์ ยังมีอีกปัจจัยสนับสนุน คือการพิมพ์เงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องของธนาคารกลางใหญ่ๆของโลก ยังเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ช่วยผลักดันราคาทองคำได้เช่นกัน รวมถึงธนาคารกลางประเทศต่างๆ ได้หันมาสะสมทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นและคาดว่าจะยังไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ทั้งหมดนี้คือปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ”

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน จากการที่เหตุความวุ่นวายในตะวันออกกลางจะทำให้การผลิตน้ำมันออกสู่ตลาดทำได้ยากขึ้น โดยปัจจัยทางเทคนิคตอนนี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI หากผ่านระดับ 64 เหรียญต่อบาร์เรลไปได้ จะพ้นแนวโน้มไซด์เวย์แล้วพลิกกลับเป็นขาขึ้นอย่างเต็มตัว โดยมีเป้าหมายราคาต่อไปที่ 76 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมตั้งแต่ปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกมีแนวโน้มจะชะลอลงตามเศรษฐกิจโลกที่ถูกกดดันด้วยปัจจัยสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ ที่ยังคงยืดเยื้อต่อ แม้จะมีการเจรจาระยะแรกจบไปแล้วก็ตาม แต่ยังมีอีกหลายข้อตกลงที่ต้องเจรจาต่อ ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะมีท่าจบลงได้ในเวลาอันสั้น ถ้าหากประเด็นเรื่องสงครามเงียบลงไปอาจจะกดดันราคาน้ำมันได้ นอกจากภาวะสงครามแล้ว เศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกยังมีความเสี่ยงอื่นที่นักลงทุนต้องจับตาเช่นกัน

“ความเสี่ยงสำคัญในปี 2563 คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ กรณีที่อลิซาเบธ วอเรน จากพรรคเดโมแครตสามารถชนะการเลือกตั้งจะสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินรวมถึงค่าเงินดอลลาร์รวมถึงประเด็นเรื่อง Brexit ยังไม่สามารถไว้วางใจได้ ยังพร้อมเป็นปัจจัยเสี่ยงในการลงทุนในปีนี้”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน