หอการค้าไทยชี้ปัจจัยฉุดเศรษฐกิจปี’63 ไวรัสโคโรนาหนักสุด ทำจีดีพีหด 1.3% เงินหาย 226,700 ล้านบาท แต่ยังคงประมาณการไว้ที่ 2.8% จากหลายปัจจัยยังไม่นิ่ง

โคโรนา-ภัยแล้งทุบจีดีพี – นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยได้สรุปประเมินผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ใน 5 ปัจจัยสำคัญ ซึ่งประกอบไปด้วยการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่, ความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ความต้องการสินค้าลดลงจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ภาวะภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง รวมถึงปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศลดลง 1.3% คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ 226,700 ล้านบาท

ทั้งนี้ ทางหอการค้าไทย ยังคงประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจปีนี้ไว้ที่ 2.8% เนื่องจากเห็นว่ามีหลายปัจจัยยังคงไม่แน่นอนและมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงได้ แต่โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำกว่า 2.5% มีโอกาสมากขึ้น โดยปัจจัยการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มีผลกับจีดีพี ของประเทศมากที่สุด โดยประเมินว่าหากสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ภายในเดือนมี.ค. การท่องเที่ยวฟื้นตัวภายใน 3 เดือนหลังจากนั้น ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวที่หายไปจะทำให้จีดีพีลดลงได้ 0.67% มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ 117,300 ล้านบาท แต่หากเหตุการณ์ยืดเยื้อเกิน เดือนพ.ค. ผลกระทบต่อจีดีพี จะมีสูงขึ้น

นอกจากนี้ ปัญหาความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ล่าช้าเกินกว่า 6 เดือน โดยเริ่มเบิกจ่ายได้ตั้งแต่เดือนเม.ย. จะส่งผลกระทบต่อจีดีพี ให้ลดลง 0.44% ส่งผลกับมูลค่าทางเศรษฐกิจ 77,500 ล้านบาท ภาวะภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง เป็นเวลา 1 เดือนและปริมาณน้ำในเขื่อนที่ใช้การได้ต่ำกว่าปีก่อน ส่งผลต่อจีดีพี 0.06% มีผลกับมูลค่าทางเศรษฐกิจ 10,200 ล้านบาท ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มีผลกับจีดีพี 0.02% มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ 3,800 ล้านบาท

ดังนั้น หอการค้าไทยมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อรัฐบาล คือการที่รัฐบาลต้องทำตลาดเชิงรุกในตลาดที่มีศักยภาพ ออกมาตรการฟรีวีซ่าระยะสั้นและมีการเพิ่มประเทศมากขึ้น เร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณที่กันจากปีก่อนให้เร็วขึ้น รวมถึงการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณการลงทุนในส่วนของรัฐวิสาหกิจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ การบริหารจัดการค่าเงินบาทให้อ่อนค่าใกล้เคียงกับระดับ 31.5-32.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน