นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และโฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มี พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ว่า ที่ประชุม กบง. มีมติคงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) เดือนต.ค.2559 ไว้ที่ 20.29 บาท/กก. โดยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่ม 16.44 สตางค์/กก. จากเดิมเก็บเงินเข้ากองทุนฯ 15.67 สตางค์/กก. เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ที่ 32.11 บาท/กก. และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค.2559 เป็นต้นไป
แม้ว่าสถานการณ์ราคาก๊าซแอลพีจีตลาดโลก (CP) เดือนต.ค.2559 อยู่ที่ระดับ 437 เหรียญสหรัฐ/ตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 47 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะเดียวกันอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนก.ย.2559 ยังอ่อนค่าลงจากเดือนก่อน 0.76 สตางค์/เหรียญสหรัฐ มาอยู่ที่ 34.9014 บาท/เหรียญสหรัฐ แต่เนื่องจากราคาก๊าซแอลพีจีจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 37 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ 383 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งปริมาณก๊าซแอลพีจีที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติมีสัดส่วนกว่า 64% ของความต้องการใช้ก๊าซแอลพีจีทั้งหมด ส่งผลให้ราคาต้นทุนเฉลี่ยการจัดหาก๊าซแอลพีจีทั้งระบบ ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซแอลพีจีปรับตัวลดลง 16.44 บาท/กก. จาก 13.1623 บาท/กก. เป็น 12.9979 บาท/กก.
“แนวโน้มราคาแอลพีจีในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดเป็นไปในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมันที่มีโอกาสปรับสูงขึ้นตามกลไกตลาด เพราะมองว่าทั้งน้ำมันและแอลพีจีได้ปรับลดลงผ่านพ้นจุดต่ำสุดมาแล้ว โดยราคาน้ำมันจะยังมีความผันผวนจากปัจจัยที่บางประเทศในและนอกกลุ่มโอเปก ตัดสินใจลดกำลังการผลิตลงอยู่ในช่วง 32.5-33.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน ประกอบกับสภาพอากาศที่จะเข้าสู่หน้าหนาว ส่งผลให้ความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อทำความร้อนเพิ่มขึ้น ซึ่งหากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลต่อสถานการณ์การใช้แอลพีจีปรับเพิ่มขึ้นได้จากปัจจุบัน”นายทวารัฐ กล่าว
อย่างไรก็ตามจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ดังกล่าว ส่งผลทำให้กองทุนฯ ในส่วนของก๊าซแอลพีจีมีรายรับเพิ่มขึ้น 59 ล้านบาท/เดือน จาก 56 ล้านบาท/เดือน เพิ่มเป็นรายรับประมาณ 115 ล้านบาท/เดือน โดยฐานะสุทธิของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 2 ต.ค.2559 อยู่ที่ 41,690 ล้านบาท แบ่งเป็นในส่วนของบัญชีก๊าซแอลพีจีอยู่ที่ 7,462 ล้านบาท และในส่วนของบัญชีน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 34,228 ล้านบาท
