พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 23 พ.ค.2560 มีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางเพิ่มเบี้ยชราภาพให้กับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังกลับไปทำรายละเอียดให้ชัดเจน รวมทั้งมาตรการอื่นเพิ่มเติมก่อนนำกลับมาเสนอ ครม. อีกครั้ง

การจัดหาเงินเพิ่มเติมให้กับผู้มีรายได้น้อยจากปัจจุบันอยู่ที่ 600-1,000 บาทนั้น ให้คำนึงว่าจะต้องไม่เป็นภาระและส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินและการคลัง ซึ่งที่ผ่านมานายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เสนอแนวทางโดยเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุที่มีฐานะดีและต้องการสละสิทธิ เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอย่างสมัครใจ และนำเงินดังกล่าวเข้ากองทุนผู้สูงอายุเพื่อไปเพิ่มให้กับผู้มีรายได้น้อย จะมอบเหรียญเชิดชูเกรียติให้

“จากผลการศึกษาเบื้องต้นในที่ประชุมเห็นว่ามีผู้สูงอายุที่มีฐานะพร้อมเสียสละเบี้ย เพราะถ้าไม่มีเบี้ยสามารถดำรงชีพอยู่ได้ แต่มีบางรายก็ไม่ยินยอมเหมือนกัน ซึ่งหากสละสิทธิ์แล้วและมีรายได้น้อยลงหรืออยากได้เบี้ยกลับมา ก็สามารถขอสิทธิ์กลับมาได้ในภายหลัง และผลการศึกษาหากมีผู้สละสิทธิ์ 10% จะได้เงินกลับมาราว 4,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อไปเพิ่มเงินให้คนแก่ฐานะยากจน 3.5 ล้านคน” พลโทสรรเสริญ กล่าว

ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุทั้งหมด 10.3 ล้านราย คิดเป็น 16% ของประชากรในประเทศทั้งหมด โดยคาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยทั้งสิ้น 3.5 ล้านราย ที่รัฐบาลต้องการเพิ่มเบี้ยชราภาพ จากปัจจุบันมีการจ่ายเบี้ยแบบขั้นบันไดของอายุ เช่น อายุ 60-70 ปี ได้รับเบี้ย 600 บาทต่อเดือน อายุ 70-80 รับเบี้ย 700 บาทต่อเดือน อายุ 80-90 รับเบี้ย 800 บาทต่อเดือน และมากกว่า 90 ปี รับเบี้ย 1,000 บาทต่อเดือน

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังเสนอมาตรการที่เพิ่มประชากรมากขึ้น โดยมีแนวคิดสนับสนุนให้มีลูกและจะให้สิทธิด้านภาษี ซึ่งนายกรัฐมนตรีสั่งการให้กลับไปศึกษาความเป็นไปได้และทำข้อมูลเสนอมาให้ชัดเจนก่อนนำกลับมาเสนอ ครม.อีกครั้ง รวมถึงการแก้ไขพ.ร.บ.ผู้สูงอายุด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน