ส่งศาลรธน. วินิจฉัย รัฐผลิตไฟน้อยกว่าแผน ทำค่าไฟแพง ละเมิดสิทธิปชช.
วันที่ 1 มิ.ย. มีรายงานว่าผู้ตรวจการแผ่นดิน มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213 ว่าการที่รัฐผลิตกระแสไฟฟ้าน้อยกว่าร้อยละ 51 ตามยุทธศาสตร์กระทรวงพลังงาน( 2559-2563) และแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP 2018) มีผลทำให้ค่าไฟฟ้าแพงและเข้าข่ายเป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญให้การคุ้มครองไว้ โดย พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจฯ ได้ส่งคำร้องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา
เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
ทั้งนี้มติดังกล่าวเป็นกรณีที่ผู้ตรวจฯได้รับคำร้องเพิ่มเติมของ นายสุทธิพร ปทุมเทวาภิบาล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) จากที่ก่อนหน้านี้ นายสุทธิพร ยื่นเรื่องขอให้ผู้ตรวจฯพิจารณาตรวจสอบว่าการที่กระทรวงพลังงาน กำหนดนโยบายและแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าในการให้เอกชนเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้า ทำให้สัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าของรัฐ ลดลงต่ำกว่าร้อย 51 ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 56 วรรคสองหรือไม่ และผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีคำวินิจฉัยเมื่อ 25 มิ.ย. 62ว่า การที่สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของรัฐมีน้อยกว่าร้อยละ 51 ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 56 วรรคสอง
พร้อมมีข้อเสนอแนะให้กระทรวงพลังงานทบทวน ปรับแผน PDP 2015 และ PDP 2018 กำหนดแนวทางให้รัฐมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าไม่น้อยกว่าร้อยละ51 ให้แล้วเสร็จใน 120 วัน และทำให้รัฐมีสัดส่วนผลิตไฟฟ้าไม่น้อยกว่าร้อยละ51 ภายใน 10 ปี นับจากปีพ.ศ.2562 แต่กระทรวงพลังงานยังโต้แย้งว่านอกเหนือจากที่รัฐผลิตเองแล้วรัฐยังถือหุ้นอยู่ก็เท่ากับว่ารัฐมีสัดส่วนเป็นเจ้าของอยู่เกินกว่าร้อยละ 51 แต่เอกสารหลักฐานยังไม่ครบจึงมีการขอขยายเวลาในการชี้แจงต่อผู้ตรวจฯอยู่
ซึ่งต่อมา นายสุทธิพร ได้ยื่นคำร้องอ้างว่าผลจากการที่รัฐผลิตไฟฟ้าน้อยกว่าร้อยละ 51ตามแผนดังกล่าวทำให้ตนเองในฐานประชาชนผู้บริโภคต้องแบกรับภาระค่าไฟฟ้าแพงด้วย ยิ่งช่วงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และประชาชนต้องทำงานที่บ้าน ค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้เห็นได้อย่างชัดเจน และที่ประชุมผู้ตรวจฯก็มีมติเห็นว่า นายสุทธิพร ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพที่คุ้มครองไว้จากการกระทำของกระทรวงพลังงานที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงได้ยื่นคำร้องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213 ประกอบ มาตรา 46 มาตรา 56 วรรคสอง