ศาสตราจารย์ ดร.ปาริชาต สถาปิตานนท์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ภาควิชาการประชาสัมพันธ์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกับผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล สถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ ดำเนินการศึกษาความคิดเห็นของประชาชนในตัวเลือกหรือทางออกของสภาพคล่องทางการเงิน ในช่วงที่สังคมไทยเผชิญสถานการณ์ไม่ปกติ จากกรณีโควิด-19 จำนวน 1,200 ตัวอย่างจากทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 มี.ค.-25 มิ.ย.ที่ผ่านมา
การสำรวจเน้นประเด็นการรับรู้ พฤติกรรมการเลือกใช้บริการ ตลอดจนทัศนคติต่อตัวเลือกหรือสภาพคล่องทางการเงินโดยใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจโดยการพัฒนาแบบสอบถามซึ่งอิงหลักคิดทางวิชาการด้านการประชาสัมพันธ์ และเน้นในมิติการวัดการรับรู้ผลการสื่อสารองค์กรและแบรนด์
น่าห่วงคือ ผลจากการสำรวจ พบว่า ส่วนใหญ่หรือ 65% ต้องพึ่งพาสภาพคล่องทางการเงินในระบบบ รองลงมาคือ 21.2% ต้องพึ่งพาหาสภาพคล่องทางการเงินทั้งในระบบ และนอกระบบ ในขณะที่ 4.1% พึ่งพาหาสภาพคล่องการเงินนอกระบบอย่างเดียว และ 9.2% ระบุอื่นๆ
ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อให้ระบุแหล่งในการเลือกใช้บริการตัวเลือกหรือทางออกของสภาพคล่องทางการเงิน พบว่าอันดับที่ 1 เลือกใช้บริการโรงรับจำนำอีซี่ มันนี่ 53.2% อันดับที่ 2 ยืมเพื่อนหรือญาติ 46.1% อันดับที่ 3 ร้านทอง 42.9% อันดับที่ 4 บัตรกดเงินสด 28.4% อันดับที่ 5 โรงรับจำนำของรัฐ (สถานธนานุเคราะห์) 24.8% อันดับที่ 6 บัตรเครดิต 22.2% อันดับที่ 7 สินเชื่อธนาคาร 14.5% อันดับที่ 8 สินเชื่อส่วนบุคคล 12.2% อันดับที่ 9 เล่นแชร์ 9.9% อันดับที่ 10 โรงรับจำนำสยาม 8.5%
ส่วนกลุ่มที่ระบุว่ายังไม่เคยมีประสบการณ์ในการใช้บริการโรงรับจำนำ มองว่าหากต้องใช้บริการตัวเลือกหรือทางออกหรือสภาพคล่องทางการเงินจะเลือกใช้บริการอันดับแรก คือ อันดับที่ 1 ใช้บริการจากร้านทอง 15.7% อันดับที่ 2 ยืมเพื่อน /ญาติ 15.3% อันดับที่ 3 โรงรับจำนำ อีซี่มันนี่ 15.2% อันดับที่ 4 โรงรับจำนำ Cash Express 10.8% อันดับที่ 5 บัตรกดเงินสด 10.3% อันดับที่ 6 บัตรเครดิต 8.5% อันดับที่ 7 โรงรับจำนำของรัฐ (สถานธนานุเคราะห์) 5.9% อันดับที่ 8 โรงรับจำนำ สถานธนานุบาล 4.0% อันดับที่ 9 สินเชื่อธนาคาร 3.6% และอันดับที่ 10 สินเชื่อส่วนบุคคล 3.4%
สาเหตุที่คนไทยจำนวนมากยังพึ่งพิงโรงรับจำนำเป็นหลัก สะท้อนมาในทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่อโรงรับจำนำหรือทางออกของสภาพคล่องว่า อันดับ 1 ดอกเบี้ยถูก 68.5% อันดับ 2 ได้เงินเร็ว 60.3% อันดับ 3 ทรัพย์สินไม่หาย ถ่ายของคืนได้ 40.5% อันดับ 4 เหมาะสำหรับต้องการเงินด่วน 38.5% อันดับ 5 ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน 35.9% อันดับ 6 ขั้นตอนง่ายใช้บัตรประชาชนใบเดียว ได้เงินเร็ว 32.8% อันดับ 7 ไม่เสียเครดิตถ้าปล่อยของหลุด 18.5% อันดับที่ 8 สามารถผ่อนชำระเป็นงวดๆ ได้ 16 อันดับที่ 9% ระยะเวลาในการฝากนาน 15.9% แม้จะยังมีความกังวลอยูบ้างว่า กลัวทรัพย์ถูกเปลี่ยน 8.8% ที่อยู่ในอันดับที่ 10
ผลการสำรวจ ยังพบว่าเมื่อพูดถึงโรงรับจำนำแบรนด์ที่นึกถึงเป็นอันดับที่ 1 คือโรงรับจำนำอีซี่มันนี่ 49.8% อันดับที่ 2 โรงรับจำนำของรัฐ (สถานธนานุเคราะห์) 22.4% อันดับที่ 3 คือร้านทองและโรงรับจำนำ Cash Express 8.2% อันดับที่ 4 สถานธนานุบาล 5.5% อันดับที่ 5 โรงรับจำนำสยาม 3.7%
ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้แบรนด์โรงรับจำนำ อันดับที่ 1 ดอกเบี้ยถูก 63.8% อันดับที่ 2 ราคาเป็นธรรม มีมาตรฐาน 60.8% อันดับที่ 3 ความน่าเชื่อถือโดยรวม 41.1% อันดับที่ 4 เชื่อมั่นในการเก็บทรัพย์จำนำของลูกค้า 32.4% อันดับที่ 5 สถานที่สะอาดและทันสมัย 29.3% อันดับที่ 6 วัน เวลาเปิดทำการสอดคล้องกับลูกค้า 26.9% อันดับที่ 7 มีจำนวนสาขาครอบคลุม 19.3% อันดับที่ 8 สามารถรับจำนำทรัพย์ได้หลากหลาย 15.4% อันดับที่ 10 มีทางเลือกในการขยายเวลาในการจำนำ 13.1%
ศาสตราจารย์ ดร.ปาริชาต กล่าวอีกว่า หากพิจารณาในมิติการสื่อสาร ประเด็นด้านการรับรู้นับเป็นหัวใจสำคัญที่สะท้อน “ภาพจำฝังหัวผู้คน” โดยภาพของโรงรับจำนำ ร้านทอง หรือการหยิบยืมจากคนใกล้ชิด มักเป็น “ภาพจำ” ในคอนเทนด์ที่คนไทยพูดคุยหรือแนะนำกัน ในฐานะ “แหล่งพึ่งพิง” ยามที่ชีวิตต้องการทางออกแบบด่วนๆ คล่องตัว และเข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะในยามที่บุคคลเผชิญกับปัญหาเฉพาะหน้าทางการเงิน นอกจากนั้น ยังมองว่า “ภาพจำ” ดังกล่าว ยังได้รับ “การผลิตซ้ำ” จากสื่อมวลชนแขนงต่างๆ เพื่อตอกย้ำฐานความเชื่อเกี่ยวกับแหล่งพึ่งพิงของผู้คน และกลายเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่สื่อมวลชนใช้เป็นดัชนีชี้วัดระดับสภาพคล่องทางเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่ผู้คนเผชิญกับความจำเป็นของชีวิตที่ต้องการทางออกแบบง่าย สะดวก และคล่องตัว ผนวกกับ การที่ธุรกิจโรงรับจำนำเอกชน และธุรกิจร้านทองยุคใหม่ได้ทำงานเชิงรุกในการสร้างแบรนด์ และสร้างการรับรู้ (Visibility) และการเข้าถึง (Accessibility) ให้ผู้คนอย่างโดดเด่น อาทิ การจัดตั้งอยู่ในแหล่งที่เป็นแลนด์มาร์คของชุมชน การออกแบบหน้าร้านให้ดูโปร่งใส น่ามอง การใช้โทนสีที่สะดุดตา หรือแม้แต่การตั้งชื่อให้เรียกขานได้ง่ายๆ ดูทันสมัย และตอบโจทย์ที่อยู่ในใจผู้คน