27 พ.ย. เงินชดเชยราคายางงวดแรกเข้าบัญชี‘ชาวสวน-คนกรีด’ – ยางแผ่นดิบไม่ได้ชดเชย ขณะที่กยท. ร่วมกับม.อ. เร่งทำความเข้าใจโปรตีนในยาง

เตรียมรับเงินชดเชยยาง – นายประพันธ์ บุณยเกียรติ ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า วันที่ 27 พ.ย. 2563 ชาวสวนยาง และคนกรีดจะได้รับเงินชดเชยราคายางพารางวดแรกวงเงินรวม 2,116 ล้านบาท โดยราคายางแผ่นดิบชั้นดีราคาอ้างอิง อยู่ที่ 62.62 บาท/กิโลกรัม (ก.ก.) รัฐบาลไม่ต้องชดเชยยางในกลุ่มนี้ เพราะราคาประกันที่รัฐบาลกำหนดไว้คือ 60 บาท/ก.ก.

น้ำยางสด (DRC 100%) ชดเชยราคา 4.14 บาท/ก.ก. เนื่องจากราคาอ้างอิงอยู่ที่ 52.86 บาท/ก.ก. และราคาประกันอยู่ที่ 57 บาท/ก.ก. และ ยางก้อนถ้วย (DRC 50%) ราคาชดเชย 3.91 บาท/ก.ก. จากราคาอ้างอิง 19.09 บาท/ก.ก. และราคาประกันรายได้ที่ราคา 23 บาท/ก.ก.

ด้านนายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กล่าวว่า วันที่ 26 พ.ย.นี้ เตรียมหารือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) เพื่อดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรชาวสวนยาง กว่า 1.8 ล้านราย ในวันที่ 27 พ.ย.นี้ พื้นที่ยางพาราที่จะได้รับการชดเชยราคาครอบคลุม 18 ล้านไร่ ให้ยางแผ่นดิบคุณภาพดี ราคา 60 บาท/กิโลกรัม (ก.ก.) น้ำยางสด (DRC 100%) ราคา 57 บาท/ก.ก. และ ยางก้อนถ้วย (DRC 50%) ราคา 23 บาท/ก.ก. กำหนดปริมาณผลผลิตยางที่จะประกันรายได้ คือ ผลผลิตยางแห้ง (DRC 100%) ไม่เกิน 20 ก.ก./ไร่/เดือน และผลผลิตยางก้อนถ้วย (DRC 50%) ไม่เกิน 40 ก.ก./ไร่/เดือน ตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางระยะที่ 2 วงเงิน 10,042 ล้านบาท

นายประพันธ์ บุณยเกียรติ ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กล่าวหลังการจัดเสวนา เรื่อง การแพ้โปรตีนในยางพารา โดยกยท. ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี ว่า จุดอ่อนที่น้ำยางธรรมชาติถูกโจมตีมากที่สุดคือ เรื่องโปรตีนที่อยู่ในยาง ทำให้เกิดอาการแพ้ในบางคน ช่วง 14-15 ปีที่ผ่านมา จากความต้องการยางพาราสังเคราะห์ ในการทำถุงมือโดยเฉพาะถุงมือทางการแพทย์ เช่น ยางไนไตรล์ ยางคลอโรฟิลล์ เป็นต้น มีการเพิ่มขึ้น มากกว่าถุงมือยางพาราธรรมชาติ มากกว่า 10 เท่าตัว หลังจากบริษัททำถุงมือยางของอังกฤษ พบคนอังกฤษ 1 คน เกิดอาการแพ้และเสียชีวิตหลังจากใส่ถุงมือยางพาราธรรมาติ เนื่องจากแพ้โปรตีนในยางพาราธรรมชาติ

ช่วง 7-8 ปีก่อน มีการปรับเปลี่ยนไปใช้ยางสังเคราะห์มากขึ้น ยางธรรมชาติจึงถูกโจมตีมาตลอดว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการแพ้ ด้วยองค์ความรู้ในปัจจุบัน มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มีการวิจัยที่เรียกว่า “โปรตีนต่ำ” คือระดับโปรตีนที่อยู่ในยางพาราต่ำกว่ามาตราฐานของอเมริกาหรือยุโรปที่อนุญาตให้ถุงมือยางพาราธรรมชาติ เมื่อมีการโจมตี เรื่องโปรตีนในยางธรรมชาติ จึงส่งผลต่อเสถียรภาพราคายางพารา ดังนั้น กยท. ร่วมมือกับ ม.อ. เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจในเรื่องของงานวิจัย เพื่อยืนยัน การมีอยู่ของโปรตีนในยางพาราที่ต่ำมาก เพื่อให้ประเทศผู้ซื้อเข้าใจสร้างความต้องการอย่างแท้จริงให้เกิดขึ้น จนเป็นความมั่นคงอย่างถาวร

นายเจริญ นาคะสรรค์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า การแพ้โปรตีนมีความจริงมากน้อยแค่ไหน ไม่มีใครรู้ ประเทศไทยที่ผลิตยางพาราธรรมชาติเอง ไม่เคยทำวิจัยมาป้องกันตัวเอง มีแต่ไปตามวิจัยของต่างชาติ ดังนั้นนักวิชาการม.อ. จึงเตรียมศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง หวังว่าภายใน 5-10 ปี จะพลิกอุตสาหกรรมถุงมือยางในประเทศ รวบรวมงานวิจัยเพื่อดำเนินการลดโปรตีนในยางพารา จะจัดตั้งศูนย์วิจัยการแพ้โปรตีนในยางพารา ร่วมกับ กยท. และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยียาง ชีวเคมี และการแพทย์ เพื่อกู้ตลาดถุงมือยางธรรมชาติกลับคืน ยืนยันว่าถุงมือยางธรรมชาติดีกว่ายางสังเคราะห์ มีความเข็งแรงและยืดหยุ่นดีกว่า

นายวรวิทย์ วาณิชย์สุวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์ ม.อ. กล่าวว่า ในฐานะแพทย์ที่ใช้ถุงมือยางธรรมชาติจริง ตนเป็นผู้ใช้ที่อยากให้ใช้ยางธรรมชาติมากยิ่งขึ้น จากประสบการณ์ ถุงมือยางสังเคราะห์ ที่เป็นไนไตรล์ ก็มีคนที่แพ้เช่นกัน จึงอยากเปิดมิติใหม่ให้กับวงการยางพาราและวงการแพทย์ของไทย

“ผมยินดีที่ได้เป็นตัวแทนบุคลากรของวงการสาธารณสุขไทย ถ้าหากเราได้เป็นหนึ่งในกระบอกเสียง ว่าจริงๆ แล้วนอกจากที่เราใช้งานเพียงอย่างเดียวแล้วนั้น เรามองไปถึงต้นตอและวัตถุดิบบางอย่างที่สามารถที่จะลดการนำเข้า เพิ่มมูลค่ายางพาราไทย ในภาคอุตสาหกรรมเครื่องมือการแพทย์ของไทยได้”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน