นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งเป็นการแก้ไขพ.ร.บ.ฉบับเดิม ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2535 หรือ 15 ปีแล้ว เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
มีสาระสำคัญคือการขยายขอบเขตการใช้บังคับของพ.ร.บ.ไปจนถึงเขตเศรษฐกิจจำเพาะ หรือครอบคลุมไปถึง 200 ไมล์ทะเลจากฝั่ง ไหล่ทวีป และทะเลหลวง และเพิ่มเติมหลักการในการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยให้กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมรับขึ้นทะเบียนสมาชิก องค์กร หรือบุคคลที่มีความสนใจในงานด้านการอนุรักษ์ การสงวน การคุ้มครอง และการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยเหลือการดำเนินงานในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ขณะเดียวกันยังได้ปรับปรุงกองทุนสิ่งแวดล้อม จากเดิมอยู่ในการดูแลของกระทรวงการคลัง ให้มาอยู่ในการดูแลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การดำเนินงานมีความคล่องตัวมากขึ้น รวมทั้งได้ขยายแหล่งที่มาของกองทุนให้กว้างขึ้น โดยให้สามารถมีรายได้จากการเก็บเงินจากค่าบริการ ค่าธรรมเนียม การพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ และเงินค่าปรับ และจะปรับปรุงการใช้จ่ายเงินให้ครอบคลุมการส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อมในทุกด้าน
นอกจากนี้ ยังปรับปรุง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข การจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ โดยกำหนดว่าจะต้องมีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้วย ในกรณีที่มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์หรือ เอสอีเอ สำหรับพื้นที่ใดไว้แล้ว การจัดทำรายงานอีไอเอจะต้องนำผลเอสอีเอมาประกอบด้วย ขณะเดียวกันยังกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ก่อและขจัดมลพิษ เช่น ให้ชำระค่าธรรมเนียมในการปล่อยมลพิษที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ซึ่งจะกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมไว้ในกฎกระทรวง และยังกำหนดให้มีการวางหลักประกันความเสี่ยงหรือความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อการชดใช้และเยียวยาความเสียหายที่จะเกิดขึ้นด้วย ซึ่งหากมีประชาชนได้รับผลกระทบขึ้นมาในอนาคตจะมีเงินจากส่วนนี้เข้าเยียวยา
รวมทั้งยังได้กำหนดบทลงโทษ กรณีที่เกิดการรั่วไหลหรือแพร่กระจายของมลพิษ โดยให้เจ้าของแหล่งกำเนิดมลพิษต้องรับผิดชอบ 2 ส่วนคือ ส่วนแรก การชดเชยค่าสินไหมทดแทนไม่เกิน 2 เท่าของความเสียหายจริง และความรับผิดชอบต่อค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องใช้ในการขจัดมลพิษนั้น
