สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ชี้ 200 ผู้บริหารมองรัฐบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ได้แค่พอใจในระดับปานกลาง

ส.อ.ท.พอใจจัการวัคซีน – นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ผลสำรวจความเชื่อมั่นต่อการบริหารจัดการวัคซีนในการยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ของผู้บริหาร ส.อ.ท. 200 ท่าน ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 74 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่าส่วนใหญ่ 61% มีความพึงพอใจต่อแผนการบริหารจัดการวัคซีนโควิดของภาครัฐอยู่ใน “ระดับปานกลาง” รองลงมามีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับมาก 22% และความเชื่อมั่นอยู่ในระดับน้อย 17%

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารส่วนใหญ่มีความพร้อมในการรับวัคซีนโควิด-19 จากภาครัฐ แต่ยังมีความกังวลถึงผลข้างเคียงจากวัคซีน คิดเป็น 60.5% ขณะที่มีผู้บริหารที่มีความพร้อมและเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของวัคซีน คิดเป็น 31.5%

โดยกลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับวัคซีนในลำดับถัดไปต่อจากบุคลากรทางการแพทย์/สาธารณสุขและบุคคลที่มีโรคประจำตัว 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 เจ้าหน้าที่ที่มีความเสี่ยงในการปฏิบัติงาน เช่น ตำรวจ อาสาสมัคร 73.5% อันดับ 2 แรงงานในภาคบริการ 55.5% และอันดับ 3 กลุ่มผู้สูงอายุ 54.5%

ดังนั้นผู้บริหารจึงมองว่าปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนให้แผนการกระจายวัคซีนโควิดให้แก่ประชาชนมีประสิทธิภาพ คือ การนำระบบดิจิตอลมาใช้ในการบริหารจัดการ 63% ความร่วมมือจากภาคเอกชน 58% และความพร้อมของบุคลากร/สถานที่ในการฉีดวัคซีน 57.5%

ขณะเดียวกัน ยังมองว่าภาครัฐควรออกมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อเนื่อง หลังจากการฉีดวัคซีนตามแผนแล้ว อันดับ 1 มาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ 67.5% มาตรการช่วยเหลือ/สนับสนุนธุรกิจผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) 63.5% และการส่งเสริมการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่มีพาสปอร์ตวัคซีน 61%

นายสุพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลสำรวจยังเจาะลึกถึงเรื่องการส่งเสริมให้เอกชนนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยา (อย.) แล้ว พบว่าส่วนใหญ่ 58.5% เห็นว่าภาครัฐควรส่งเสริมให้เอกชนนำเข้าวัคซีนมาใช้ในประเทศ โดยมีเงื่อนไขเฉพาะภายใต้ระเบียบปฏิบัติของรัฐ

รองลงมา 34% ควรเป็นหน้าที่ของภาครัฐในการจัดหาและนำเข้าวัคซีน และเมื่อถามถึงความพร้อมของภาคเอกชนที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าวัคซีนโควิดให้แก่พนักงานในบริษัท พบว่า 43% ภาคเอกชนสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายได้บางส่วน รองลงมา 36% ยังต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนค่าใช้จ่าย ขณะที่ 21% สามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายได้เอง

ส่วนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในกลุ่มผู้เดินทางเข้าประเทศ พบว่าผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ 58.5% เห็นว่าภาครัฐควรนำมาตรการพาสปอร์ตวัคซีน มาใช้ควบคู่กับมาตรการกักตัว 14 วัน สำหรับกลุ่มผู้เดินทางเข้าประเทศ และรองลงมา 35% อยากให้นำมาตรการพาสปอร์ตวัคซีน มาใช้ทดแทนมาตรการกักตัว 14 วัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน