นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกันจัดโครงการพัฒนาศักยภาพและช่องทางการตลาดเชิงลึกสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าสู่ตลาดจีน อินเดีย และบาห์เรน

“เบื้องต้นมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการ 100 ราย ทั้งกลุ่มสินค้าประเภทอาหาร-เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรแปรรูป ของที่ระลึก ผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม อัญมณีและเครื่องประดับ คาดว่าจะมีมูลค่าการเจรจาจับคู่ธุรกิจที่จะเกิดขึ้นจำนวน 200 ล้านบาท”

โดยมีกิจกรรมเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการแบบเข้มข้น 3 แนวทางในการเพิ่มศักยภาพทางการตลาดระหว่างเดือนก.ค.-ส.ค. 2564 ได้แก่ การจัดสัมมนา-เวิร์กช็อป, กิจกรรมให้คำปรึกษาปรับปรุงภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์, กิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (ออนไลน์แมชชิ่ง) กับคู่ค้าในแต่ละประเทศ ได้แก่ กิจกรรมจับคู่ธุรกิจ ตลาดอินเดีย ตลาดจีน ส่วนตลาดบาร์เรน จะแบบเป็น 2 กิจกรรม คือ 1. เจรจาจับคู่ธุรกิจ และ 2. การทดลองจัดแสดงสินค้าที่ห้าง Thai Mart ประเทศบาห์เรน (Mini Showcase) ซึ่งผู้ประกอบการจะได้ทดลองจำหน่ายสินค้าจริงในประเทศเป้าหมาย

ทั้งนี้ เนื่องจาก สสว. และ ส.อ.ท. มองว่าตลาดประเทศจีน อินเดีย และบาห์เรน จะมีความสำคัญต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในอนาคต เห็นได้จากประเทศจีนเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูงขึ้นเรื่อยๆ เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ได้รวดเร็วที่สุด ส่งผลให้ยอดการส่งออกของไทยไปจีนในครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย. 2564) มีมูลค่ากว่า 600,000 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีสูงถึง 24.9% รวมทั้งยังมีโอกาสขยายการค้าได้อีกมากโดยเฉพาะในกลุ่มของผลไม้ พืชผัก ผลิตภัณฑ์ยางไปจนถึงเครื่องจักรต่างๆ

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจากเมืองคุนหมิง ในภูมิภาคจีนตอนใต้ มาถึงเมืองเวียนจันทร์ สปป.ลาว ที่จะเปิดให้บริการในเดือนธ.ค.นี้ ช่วยเพิ่มยอดการส่งออกสินค้าจากไทยไปจีนได้อีกมาก โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตร เนื่องจากเส้นทางรถไฟสายนี้ที่กรุงเวียงจันทน์ อยู่ใกล้กับชายแดนไทยจังหวัดหนองคาย จะช่วยย่นระยะเวลาการขนส่งไปจีนตอนใต้เหลือเพียง 1 วัน และลดค่าขนส่งได้มากกว่า 5 เท่าตัว เป็นโอกาสในการส่งออกของเอสเอ็มอีไทยได้อีกมหาศาล

ประเทศอินเดีย เป็นตลาดที่มีอนาคตสูงของไทย เพราะมีประชากรกว่า 1,300 ล้านคน และได้รับการคาดหมายว่าในปี 2593 จะกลายเป็นประเทศที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงกว่า สหรัฐ โดยในปัจจุบันอินเดียเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 10 ของไทย ไทยมียอดส่งออกไปอินเดียในครึ่งปีแรกมูลค่ากว่า 126,000 ล้านบาท ขยายตัวสูงถึง 54.8%

อีกทั้ง ศักยภาพทางเศรษฐกิจของอินเดีย ทำให้ถูกมองว่าในอนาคตจะเป็นตลาดส่งออกใหม่ของไทยที่จะมีความสำคัญเทียบเท่าจีน เนื่องจากปัจุบันสินค้าส่งออกของไทยไปอินเดียยังมีปริมาณน้อย ยังเป็นตลาดที่ผู้ส่งออกไม่คุ้นเคยจึงมีโอกาสที่จะเจาะตลาดได้อีกมาก และอินเดียมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูง ทำให้มีความต้องการสินค้าเพิ่มมากขึ้น แนวโน้มสินค้าส่งออกที่มีแววสดใส คือ อัญมณีและเครื่องประดับ เคมีภัณฑ์และอินทรีย์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก เครื่องสำอาง สบู่ ผลิตภัณฑ์รักษาผิว และอุปกรณ์ทางการแพทย์

นอกจากนี้ อินเดียยังมีหลายรัฐทำให้มีความต้องการในการบริโภคที่หลากหลาย และยังเป็นประตูในการส่งออกสินค้าจากไทยไปสู่ประเทศข้างเคียง เช่น ศรีลังกา มัลดีฟส์ รวมทั้งไทยยังมีข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศอินเดีย ทำให้มีความได้เปรียบเหนือกว่าประเทศอื่น และที่สำคัญคนอินเดียมีทัศนคติที่ดีต่อสินค้าไทย สินค้าไทยถูกจัดเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง และสามารถเข้าถึงได้

ส่วนประเทศบาห์เรน เป็นตลาดที่สำคัญของไทยในภูมิภาคตะวันออกกลาง เพราะเป็นประเทศที่ประชาชนมีกำลังซื้อในระดับสูง เนื่องจากเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ประเทศหนึ่ง รวมทั้งไทยยังมีข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-บาห์เรน จึงทำให้สินค้าไทยเสียภาษีในระดับต่ำสร้างความได้เปรียบมากกว่าประเทศคู่แข่ง และทำให้ผู้ประกอบการชาวไทยสามารถเข้าไปทำตลาดได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มอาหาร สุขภาพ และความงาม ที่ถือได้ว่ามีความต้องการอยู่ในระดับสูง

บาห์เรนยังสามารถเป็นประตูการค้าและการลงทุนให้ไทยไปตะวันออกกลาง โดยเฉพาะประเทศในคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council : GCC) ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, กาตาร์, คูเวต, โอมาน และบาห์เรน รวมถึงแอฟริกาตอนเหนือ เอเชียใต้ และเอเชียกลาง

อย่างไรก็ตาม สสว. และ ส.อ.ท. ยังจะมีการจัดงาน “ไทยทำไทยช้อปไทยใช้” Made in Thailand ผ่านทางเว็บไซต์ Shopee.com ระหว่างวันที่ 27 ส.ค. -15 ก.ย. 2564 งานที่รวบรวมสินค้าจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกว่า 1,000 รายการ อาทิ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ และของตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องเขียนและอุปกรณ์การเรียน สิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม และของขวัญของที่ระลึก พร้อมแจกโค้ดส่วนลดร้านค้ากว่า 50,000 บาท ซึ่งทั้งหมดเป็นสินค้าที่ได้รับการรับรองการผลิตจากผู้ประกอบการของไทย (Made in Thailand)

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน