พิษโควิดรุนแรง! คลังหั่นเศรษฐกิจไทยโต 1% จากเดิม 1.3% แม้เปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวแล้ว ส่วนปีหน้าหวังขยายตัว 4%

พิษโควิดแรงคลังหั่นจีดีพี – นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทย ในปี 2564 เหลือ 1% โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 0.5-1.5% ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 1.3% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ที่รุนแรงมากขึ้นในช่วงไตรมาส 3/2564 ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะชะลอตัวลงจากช่วงครึ่งปีแรก จากมาตรการควบคุมโรคและการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลง

ทั้งนี้ ในปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดมีทิศทางดีขึ้นเป็นลำดับ ประกอบกับความคืบหน้าในการจัดหาและกระจายวัคซีนให้ประชาชน ทำให้ภาครัฐสามารถผ่อนคลายมาตรการในการควบคุมการแพร่ระบาดลง

รวมทั้งมีแผนการเปิดประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2564 เป็นต้นไป ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว ในปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางเข้าไทยประมาณ 1.8 แสนคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวราว 1 หมื่นล้านบาท รวมถึงธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง ภาคการขนส่ง ธุรกิจพักผ่อนหย่อนใจและบันเทิง รวมถึงภาคธุรกิจอื่นๆ ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง

“ต้องยอมรับว่าในไตรมาส 3/2564 เศรษฐกิจโดนหนักจากการระบาดของโควิดระลอกใหม่ ทำให้คาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) จะอยู่ที่ -3.5% ขณะที่ในไตรมาส 4/2564 ประเมินว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ดีขึ้น จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด และมาตรการกระตุ้นอื่นๆ ที่เข้ามาเสริม รวมถึงการเปิดประเทศ ที่จะช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายในประเทศให้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้เศรษฐกิจในช่วงดังกล่าวขยายตัวได้ที่ระดับ 3%” นายพรชัย กล่าว

นอกจากนี้ คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนในปี 2564 จะขยายตัวที่ 0.8% ต่อปี การลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวที่4% ต่อปี ส่วนของการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในปีนี้ จะขยายตัวที่ระดับ 16.3% ต่อปี โดยยังคงต้องติดตามปัญหาห่วงโซ่อุปทานการผลิต (Supply Chain Disruption) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าในระยะถัดไป

ขณะที่ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการประคับประคองเศรษฐกิจไทย ผ่านการดำเนินมาตรการทางการคลังของภาครัฐอย่างต่อเนื่องอาทิโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3 โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ

และมาตรการด้านการเงินผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐประกอบกับการใช้จ่ายเงินกู้จากพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 และ พ.ร.ก.กู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 วงเงิน 5 แสนล้านบาท จะมีส่วนช่วยกระตุ้นการบริโภคบรรเทาผลกระทบของภาคธุรกิจและรักษาระดับการจ้างงานให้สูงขึ้น โดยคาดว่าการบริโภคภาครัฐ ขยายตัว 3.8% ส่วนการลงทุนภาครัฐจะขยายตัว 8.1% ต่อปี

ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะอยู่ที่ 1% ต่อปี เนื่องจากภาครัฐมีการดำเนินมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจทั่วประเทศและปัจจัยด้านอุปทานส่วนเกิน ส่งผลให้ราคาสินค้าหมวดอาหารสดลดลงเป็นสำคัญ ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุล -18.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น -3.7 ของจีดีพี จากดุลการค้าที่เกินดุลลดลงและการขาดดุลบริการเป็นสำคัญ

นายพรชัย กล่าวอีกว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ 4% ต่อปี โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 3-5% ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวหลังโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และมีการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น คาดว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศจะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 7 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 3.5 แสนล้านบาท ในขณะที่การส่งออกสินค้าคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.8% ต่อปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ การจ้างงาน และการบริโภคภายในประเทศ

คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวที่ 4.2% ต่อปี ขณะที่การดำเนินนโยบายของภาครัฐยังคงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าการบริโภคภาครัฐจะขยายตัวที่ 1.1% ต่อปี ส่วนการลงทุนภาครัฐ ขยายตัวที่ 5% ต่อปี ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 1.4% ปรับตัวสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ

อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ 1. ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งสายพันธุ์ที่ระบาดในปัจจุบันและที่อาจเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต ซึ่งอาจจะลดทอนประสิทธิภาพของวัคซีน 2. ปัญหาข้อจำกัดในห่วงโซ่อุปทานการผลิต (Supply Chain Disruption) และการขนส่งระหว่างประเทศ

3. ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้น และ 4. ความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก อาทิ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและการเคลื่อนย้ายเงินทุน และนโยบายการเงินของประเทศสำคัญในระยะต่อไปที่มีแนวโน้ม ที่ตึงตัวมากขึ้น

สำหรับภาพรวมการเบิกจ่ายเงินจาก พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงิน 1 ล้านล้านบาท พบว่า มีการอนุมัติวงเงินแล้ว 9.8 แสนล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 8.9 แสนล้านบาท

ขณะที่การใช้จ่ายเงินตาม พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม วงเงิน 5 แสนล้านบาทนั้น มีการอนุมัติวงเงินแล้ว 1.45 แสนล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 1.19 แสนล้านบาท ขณะที่การเติมเงินอีก 1.5 พันบาทต่อคน ในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 นั้น คาดว่าจะมีเม็ดเงินจากประชาชนออกมาสมทบ 4.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยการใช้จ่ายในช่วง 2 เดือนสุดท้ายในปีนี้ได้เป็นอย่างดี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน