นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อตอบรับแผนเร่งผลักดันพลังงานสะอาดให้เป็นที่แพร่หลายในประเทศไทยของกระทรวงพลังงาน และรัฐบาลไทยมีแผนแม่บทความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 อีกทั้งยังคาดการณ์การเปลี่ยนผ่านพลังงานในประเทศไทยโดยการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ในภาคครัวเรือนจะเป็นส่วนประกอบสำคัญที่จะทำให้ประเทศบรรลุเป้าหมายดังกล่าว และภายใน 10 ปี ข้างหน้าจะมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจถึง 1% ซึ่งถือว่าสูงมาก

ประกอบกับประเทศไทยถือว่ามีศักยภาพสูงมากในการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าสะอาดสำหรับใช้ในบ้าน เนื่องจากมีระยะเวลาที่มีแสงแดดมากกว่า 1,500 ชั่วโมงต่อปี อีกทั้งที่พักอาศัยกว่า 80% เป็นบ้านเดี่ยวด้วย ทำให้หัวเว่ยซึ่ง มีประสบการณ์ด้านดิจิทัล พาวเวอร์ หรือโซลูชั่นด้านพลังงานสะอาดมสำหรับใช้ในบ้าน หรือ พีวี อัจฉริยะมีประสบการณ์มากว่า 30 ปี มีนักพัฒนากว่า 6,000 คน และได้รับการยอมรับจากทั่วโลก โดยดูได้จากยอดขายปีนี้คาดว่าจะทำได้ 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นส่วนแบ่งในตลาดโลก 23%

โดยล่าสุด หัวเว่ย จัดตั้งสายงานธุรกิจผลิตภัณฑ์ดิจิทัล พาเวอร์ ประเทศไทยขึ้น พร้อมกับเปิดตัวสายผลิตภัณฑ์โซลูชัน Huawei FusionSolar Residential Smart PV การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์สำหรับใช้ในภาคครัวเรือน เพื่อรองรับการผลิตพลังงานไฟฟ้าในภาคครัวเรือน ด้วยจุดเด่นเรื่องความประหยัดและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยสายผลิตภัณฑ์โซลูชันดังกล่าว จะประกอบไปด้วย 4 ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ ตัวเก็บพลังงานแบบสตริงอัจฉริยะ ที่ช่วยเก็บพลังงานส่วนเกินจากแผงโซล่าเซลล์ให้สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าสะอาดในบ้านได้อย่างต่อเนื่องทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน

โซลูชันอินเวอร์เตอร์อัจฉริยะ SUN2000 Smart Energy Controller ที่เป็นหัวใจในการแปลงไฟฟ้ากระแสตรงจากแผลโซล่าร์มาเป็นไฟกระแสสลับเพื่อใช้ในครัวเรือน ตัวเพิ่มประสิทธิภาพ PV อัจฉริยะ/ตัวควบคุมโมดูลอัจฉริยะ Smart PV Optimizer / Smart Module Controller ที่จะเปลี่ยนโมดูลทั่วไปสำหรับโซลูชัน PV ให้เป็นโมดูลอัจฉริยะ และแอพพลิเคชัน FusionSolar App สำหรับให้ผู้ใช้ควบคุมการใช้พลังงานทดแทนได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจดูพฤติกรรมการใช้พลังงานของตัวเองได้อีกด้วย

“ปัจจุบันผลิตภัณฑ์โซลูชั่นพลังงานสะอาดของหัวเว่ย มีการใช้งานแพร่หลายในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อชั้นนำ อาทิ เซ็นทรัล โลตัส เซเว่นอีเลฟเว่น และสถาบันการศึกษา เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รวมถึงสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินอู่ตะเภา เป็นต้น โดยหัวเว่ยมีส่วนแบ่งตลาดในไทยที่ 55% ขณะที่มีตัวแทนจำหน่ายกว่า 200 รายทั่วประเทศ ถือเป็นแนวโน้มที่ดีด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์พลังงานสะอาด นอกจากนี้ ยังมีสถานีชาร์จแบตเตอรี่รถยต์ไฟฟ้า หรืออีวี ชาร์เจอร์ 100 แห่ง ของปตท. น้ำมันและการค้าปลีก ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างด้วย”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน