โนเบิล ฟุ้ง 2 เดือนแรก ตุนยอดขายแล้ว 5 พันล้าน จ่อปิดดีลซื้ออสังหาฯในอังกฤษ 70 ยูนิต ไตรมาสนี้

นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยทิศทางธุรกิจในปี 2565 ยังคงเดินหน้าตามแผนที่วางไว้ ด้วยเป้าหมายยอดขายที่ 2.8 หมื่นล้านบาท และรายได้ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมเปิดตัว 18 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 4.77 หมื่นล้านบาท ซึ่งบางโครงการเลื่อนเปิดมาจากปี 2564
เนื่องจากภาพรวมตลาอสังหาริมทรัพย์ ถูกผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 จนส่งผลให้เศรษฐกิจในประเทศหยุดชะงักจากมาตรการคุมเข้มเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ จนนำไปสู่การออกมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงการปิดแคมป์คนงาน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนอกจากส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อภาคการดำเนินธุรกิจด้วยเช่นเดียวกัน

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2564 บริษัทมีรายได้รวม 7,430 ล้านบาท ลดลง 32% จากปีก่อน และกำไรสุทธิอยู่ที่ 932 ล้านบาท ลดลง 50% โดยที่ความสามารถในการทำกำไรสุทธิลดลงอยู่ที่ระดับกว่า 12.5% เป็นผลจากบริษัทได้มีการทำแคมเปญส่งเสริมการขายโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งก็ส่งผลทำให้บริษัททำยอดขายได้ดีขึ้นเมื่อเทียบปีก่อนหน้าถึงกว่า 22% โดยอยู่ที่ 8,035 ล้านบาท และกว่าครึ่งเป็นการขายโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ และที่เหลือมาจากโครงการเปิดใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยแบ่งเป็นสัดส่วนลูกค้าในประเทศ 71% และลูกค้าต่างชาติ 29%

นายธงชัย กล่าวด้วยว่าช่วงต้นปีนี้ บริษัทได้ทยอยเปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้ขื่อ นิว ไปแล้ว 5 โครงการประกอบด้วย นิว โนเบิล ดิสทริค อาร์ 9 ,นิว โนเบิล เมกา พลัส บางนา และ นิว โนเบิล ซี-สแควร์ สวนหลวง สเตชั่น ซึ่งทำเลติดห้างสรรพสินค้าทั้งหมด ส่วนอีก 2 โครงการนิวโนเบิล อีโว อารีย์ และนิว โนเบิล คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง โดยทั้งหมดได้การตอบรับดี สะท้อนจากยอดขาย 2 เดือนแรก กว่า 5,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกันปีนี้บริษัทยังคงเดินหน้าแผนลงทุนซื้อสินทรัพย์ในประเทศอังกฤษอย่างต่อเนื่อง แต่เปลี่ยนกลยุทธ์จากการซื้อทั้งตึกเป็นซื้อแบบยกลอตเป็นยูนิตแทน จำนวน 550 ยูนิต ภายใต้วงเงินลงทุน 100 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (ซึ่งบริษัทจะลงทุน 45% ตามสัดส่วน) เบื้องต้นคาดว่าภายในไตรมาส 1 นี้ จะซื้อได้ 70 ยูนิต โดยอาศัยจุดแข็งด้านการมีเครือข่ายในต่างประเทศ รวมถึงการมีฐานลูกค้าต่างชาติที่แข็งแกร่ง และมีกลยุทธ์การขยายการลงทุนในต่างประเทศ ยังคงเป็นโอกาสการลงทุนทางธุรกิจของบริษัทฯในอนาคต อย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ดีล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ยังได้มีมติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการครึ่งปีหลังของปี 2564 ในอัตรา 0.08 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราปันผลทั้งปีที่ 0.43 บาทต่อหุ้น หรือประมาณ 7% โดยจะนำเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 28 เม.ย.นี้ และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 10 พ.ค.นี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน