นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอซีเอส จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการไอซีเอส มิกซ์ยูส ไลฟสไตล์ ทาวน์ แห่งใหม่ฝั่งธนบุรี เป็นอาคารสูง 29 ชั้น ริมถนนเจริญนคร ตรงข้ามไอคอนสยาม โดยเป็นโครงการที่มีการลงทุนร่วมกันอย่างต่อเนื่องจากโครงการไอคอนสยาม ระหว่าง บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด, บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี มูลค่าลงทุน 4,000 ล้านบาท

ล่าสุดการก่อสร้างคืบหน้าไปกว่า 90% และในปลายปีนี้เตรียมเปิดให้บริการส่วนแรก ซึ่งเป็นพื้นที่ค้าปลีกขนาด 8 ชั้น โดยจะมีห้างค้าปลีกโลตัส ที่จะนำคอนเซ็ปต์ใหม่ล่าสุด SMART Premium Supermarket บนพื้นที่กว่า 3,000 ตร.ม. เป็นหนึ่งในแม่เหล็กสำคัญ

นอกจากนี้ ยังเตรียมเซ็นสัญญากับโรงพยาบาล เพื่อเข้ามาเปิดให้บริการอินโนเวทีฟ เฮลท์ แอนด์ ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ พื้นที่ 3,000 ตร.ม. ตลอดจนพันธมิตรร้านค้าอีกกว่า 200 แบรนด์ อาทิ สินค้าไลฟ์สไตล์เพื่อบ้านและการอยู่อาศัย อย่าง มิสเตอร์ดี.ไอ.วาย. ที่จะเปิดสาขาขนาดใหญ่ สินค้าไอที บริการด้านการเงิน แบรนด์แฟชั่น ธุรกิจบริการด้านความงามและเครื่องสำอางระดับแถวหน้า

รวมไปถึงร้านค้าที่ให้บริการด้านต่างๆ ที่รองรับการใช้ชีวิตประจำวัน และร้านอาหารแบรนด์ดังกว่า 80 แบรนด์ รวมถึงร้านอาหารชั้นนำจากต่างประเทศ ที่เลือกมาเปิดให้บริการที่ไอซีเอสเป็นสาขาแรก โดยปัจจุบันมีอัตราการจองพื้นที่แล้ว 65% และคาดว่าเมื่อเปิดให้บริการจะมียอดจองเพิ่มเป็น 90% ขณะที่คาดว่าจะมีผู้เข้ามาจับจ่ายวันละ 40,000 คน

ขณะเดียวกันในโครงการยังมีพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่าอีก 3 ชั้น และส่วนที่เหลืออีก 19 ชั้น จะเป็นโรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ กรุงเทพ ไอซีเอส เจริญนคร ขนาด 241 ห้อง เป็นโรงแรมระดับ 3 ดาวครึ่ง ซึ่งจะพร้อมเปิดให้บริการในไตรมาส 1 ปี 2566 รองรับกลุ่มเป้าหมายประชุมสัมมนา

นายสุพจน์ ยังกล่าวถึงภาพรวมผู้เข้ามาใช้บริการศูนย์การค้าไอคอนสยามด้วยว่า ปัจจุบันยอดกลับมาใกล้เคียงก่อนเกิดโควิดแล้วหรืออยู่ที่ราว 80,000-100,000 คน/วัน โดยเฉพาะช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ นอกจากนี้ ยอดการใช้จ่ายยังสูงกว่าช่วงก่อนโควิดถึง 90% โดยครึ่งปีแรกมียอดการจับจ่ายกว่า 10,000 ล้านบาทแล้ว และคาดว่าทั้งปีจะอยู่ที่กว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนลูกค้า 80% ยังเป็นคนไทย ขณะเดียวกันเริ่มมีต่างชาติเข้ามาย้างแล้วประมาณ 20% แต่ยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด ซึ่งมีสัดส่วนต่างชาติ 40% ประกอบกับสัดส่วนต่างชาติที่มาใช้บริการในขณะนี้ส่วนใหญ่จะเป็นชาวอินเดีย มาเลเซีย กลุ่มตะวันออกกลาง รวมถึงเวียดนามก็เริ่มมากขึ้นอย่างมีนัยยสำคัญ

“จากความสำเร็จในการพัฒนาศูนย์การค้าขนาดใหญ่ในย่านฝั่งธน ทำให้ปัจจุบันมีเจ้าของที่ดินในย่านใกล้เคียงเข้ามาเจรจา โดยสนใจที่จะร่วมลงทุนพัฒนาที่ดินในรูปแบบอื่นๆ ด้วย” นายสุพจน์กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน