เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 11 ก.ค. ที่โรงเเรมเมอร์เคียว กรุงเทพ มักกะสัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เเละคณะเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ร่วมหารือกับสมาคมสายการบินประเทศไทย นำโดย นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ อุปนายกสมาคมสายการบินแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้แทนสมาคมสายการบินแห่งประเทศไทย และผู้แทน 7 สายการบิน อาทิ นายวุฒิภูมิ จุฬางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) นายวรเนติ หล้าพระบาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยเวียตเจ็ท นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย และนายอัศวิน ยังกีรติวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบิน ไทย ไลอ้อน แอร์ ร่วมหารือ ประมาณ 1.30 ชั่วโมง โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก

นายพิธา กล่าวว่า การหารือในครั้งนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องจาก ก่อนหน้านี้ที่ทางพรรคก้าวไกล และพรรคร่วม 8 พรรค ได้ประชุมหารือกับสมาคมนักท่องเที่ยว โดยมีหัวข้อเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจสายการบิน ซึ่งเนื้อหาสำคัญที่หารือร่วมกันในครั้งนี้ อาทิ เรื่องการบริหารงานราชการแผ่นดินของกระทรวงที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงต่างประเทศที่มีการพูดคุยถึงเรื่องการขอวีซ่า กระทรวงคมนาคม ที่เป็นหน่วยงานกำกับดูแล และวิสาหกิจต่างๆ โดยมีการหารือถึงเรื่องศูนย์ซ่อมบำรุงที่มี จำนวน 2 แห่งในประเทศ ทำให้หลายสายการบิน ต้องมีการซ่อมบำรุงในต่างประเทศ ทำให้ไทยเสียโอกาสในเรื่องนี้

ขณะเดียวกัน มีการกำหนดประเด็นเร่งด่วน ที่รัฐบาลชุดต่อไปต้องเข้ามาแก้ปัญหา โดยแบ่งเป็น 3 เรื่อง 1.การส่งเสริมนโยบายเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย อาทิ การกำหนดอัตราที่เหมาะสมของภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบิน ซึ่งเรื่องนี้มีผลกระทบต่อประชาชน ในเรื่องของราคาตั๋วเครื่องบินที่อาจสูงขึ้น ตามราคาภาษีที่ต้องจ่ายภาครัฐ 2.การเร่งแก้ไขอุปสรรคและข้อจำกัดของอุตสาหกรรมการบินไทย อาทิ เร่งกระบวนการเพิ่มอุปทานของอุตสาหกรรมการบิน หรือขั้นตอนการนำเข้าเครื่องบิน การบูรณาการทำงานระหว่างสนามบินและสายการบิน เพื่อลดต้นทุนของสนามบิน โดยเฉพาะระบบนิเวศน์ที่เป็นต้นทุนกว่า 15-20% ซึ่งเรื่องนี้ต้องไปดูว่าต้นทุนดังกล่าว ไทยสามารถสู้ประเทศเพื่อนบ้านได้หรือไม่

และ 3.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันแก่อุตสาหกรรมการบิน อาทิ การเจรจาเพิ่มสิทธิการบิน ในประเทศกลุ่มเป้าหมายของการท่องเที่ยวไทย การลดค่าธรรมวีซ่า หรือเปิดฟรีวีซ่า เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้น 3 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย เกาหลีใต้ และจีน ซึ่งประเทศเหล่านี้เดินทางเข้าไทยมาเป็นจำนวนมาก และนักท่องเที่ยวไทยก็เดินทางไปประเทศเหล่านี้มากเช่นกัน ดังนั้น เรื่องนี้ต้องทำให้เกิดความสมดุล เพื่อผลักดันการท่องเที่ยวระหว่างประเทศต่อไป

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าปัจจุบันนักท่องเที่ยวหายไปจากช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 กว่า 38% ซึ่งในส่วนของเรื่องแผนที่จะผลักดันไทยเป็นศูนย์กลาง (ฮับ) การบินของภูมิภาคอาเซียน นั้น ที่ผ่านมาพรรคฯ มีการหารือร่วมกับหน่วยที่เกี่ยวข้องกับทางการบิน อาทิ องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอเคโอ) โดยได้รับข้อมูลว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หลายประเทศในอาเซียนรุกหนักมาก โดยเฉพาะสิงคโปร์ ที่จัดทีมเจรจาในการหาเอกสิทธิ์ของเส้นทางการบินจากประเทศต่างๆ ในการเดินทางข้ามทวีป ซึ่งเรื่องนี้ไทยยังเป็นรองสิงคโปร์ค่อนข้างมาก ดังนั้น เรื่องนี้จึงเป็นอีกปัญหาที่สำคัญของรัฐบาลชุดต่อไป ที่ต้องให้ไทยกลับมาเป็นฮับของอาเซียนให้ได้

“พรรคก้าวไกลและพรรคร่วมรัฐบาล จะต้องทำให้อุตสาหกรรมด้านการบิน ในฐานะเป็นหน้าด่านของภาคท่องเที่ยว พร้อมกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้ได้ โดยจะต้องวางแนวทางให้สายการบินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการในด้านต้นทุนราคาค่าโดยสารให้เหมาะสมกับนักท่องเที่ยว ที่มีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพ เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังประเทศไทยมากขึ้นต่อไป” นายพิธา กล่าว

ด้านนายธรรศพลฐ์ กล่าวว่า ครั้งนี้มีผู้บริหารของสายการบินทั้ง 7 สายการบิน เข้ามาแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยมองว่าทางพรรคก้าวไกล และตัวแทนของทั้ง 8 พรรคร่วมรัฐบาล มีความเข้าใจถึงปัญหาที่ธุรกิจการบินต้องพบเจอได้เร็วมาก และเชื่อว่าจะสามารถช่วยกันแก้ไขปัญหาได้

“การพุดคุยในครั้งนี้ ได้ลงลึกถึงปัญหาในทุกเรื่องของธุรกิจสายกการบิน แต่เรื่องที่สามารถเร่งแก้ไขได้ในเบื้องต้นมี 3 เรื่องที่กล่าวไปข้างต้น โดยเฉพาะในเรื่องของต้นทุนด้านภาษีต่างๆ ที่ธุรกิจต้องเสียให้หน่วยงานของรัฐ และต้นทุนเกี่ยวกับซัพพลายเชนทั้งหมด อีกทั้งยังได้พุดคุยถึงโอกาสในการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้มากขึ้น หากสามารถกำหนดให้ต่างชาติฟรีวีซ่าได้ในบางครั้ง บางคราว ก็จะสามารถกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เห็นตรงกันว่าสามารถเร่งแก้ไขได้” นายธรรศพลฐ์ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน