นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร. ยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2566 โตได้ในกรอบ 2.5-3.0% จากมาตรการวีซ่าฟรีของภาครัฐจะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่น จะมีส่วนช่วยให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นราว 3.4 แสนคน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มแตะระดับ 29-30 ล้านคนในปีนี้
ทั้งนี้ กกร. ได้เตรียมข้อเสนอทางเศรษฐกิจไปยังรัฐบาล และขอให้มีการรื้อฟื้นการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.กลาง) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยเสนอให้รัฐบาลจัดประชุมทุกๆ 3 เดือน เพื่อเป็นเวทีนำเสนอความเห็นและแนวทางการขับเคลื่อนระหว่างรัฐบาลกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด และเร่งดำเนินการแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยจัดลำดับความสำคัญ เพื่อให้มีผลสัมฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว
โดยมี 7 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.การช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เข้าถึงสินเชื่อที่มีความจำเป็นมากกว่าการพักชำระหนี้ ด้วยการเสนอให้รัฐบาลใช้กลไกของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ขยายการค้ำประกันสินเชื่อให้เอสเอ็มอีเพิ่มอัตราการค้ำประกันจาก 30% เป็น 50-60% โดยบูรณาการการใช้กองทุนของ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เป็นองค์รวม ช่วยสนับสนุนค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อ เตรียมความพร้อมให้กิจการของเอสเอ็มอีสามารถรองรับโอกาสจากเศรษฐกิจที่กำลังเข้าสูไฮซีซั่นของภาคการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีนี้ และการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของรัฐบาลด้วยเม็ดเงินถึง 5.6 แสนล้านบาทในช่วงต้นปีหน้า
2.สนับสนุนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 5.6 แสนล้านบาท แต่เสนอว่าควรจำกัดเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่ตอบโจทย์ และจำกัดพื้นที่ในการใช้งาน เพื่อก่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจทวีคูณมากกว่า โดยสนับสนุนการใช้จ่ายสินค้าที่ผลิตในประเทศ หากสามารถควบคุมวงเงินให้เหมาะสมจะมีวงเงินไปลงทุนเรื่องการบริหารจัดการน้ำด้วยซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วน เพื่อให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าไม่หยุดชะงัก
3.การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำของประเทศควรใช้กลไกของคณะกรรมการไตรภาคีเป็นผู้กำหนดแนวทาง เพื่อให้เป็นไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์เศรษฐกิจในแต่ละจังหวัด
4. ผลักดันการเจรจาข้อตกลงทางการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างไทยกับต่างประเทศให้มากที่สุด โดยเร่งผลักดันการเจรจาเอฟทีเอที่ดำเนินการอยู่ให้แล้วเสร็จตามกรอบเวลา ทั้งไทย-สหภาพยุโรป (อียู) ไทย-ศรีลังกา ไทย-EFTA และเปิดการเจรจาจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรีเอฟทีเอ ในตลาดสำคัญและตลาดใหม่ๆ เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกาใต้ และละตินอเมริกา รวมถึงเอฟทีเอ ที่อยู่ระหว่างการเจรจาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมถึงการจัดตั้งกองทุนเอฟทีเอ เพื่อส่งเสริมและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า และขยายโอกาสทางการค้า
5.สนับสนุนและลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อดึงดูดการลงทุนต่อเนื่อง โดยการจัดกลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะ 6.เร่งรัดแผนบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่งปี 2566 ปริมาณน้ำใช้ได้จริง ณ เดือนต.ค. 2566 อยู่ที่ระดับ 54% ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ระดับ 66% หากภาวะเอลนีโญ่มีความรุนแรง ปริมาณฝนที่ตกจะยิ่งต่ำกว่าค่าปกติ จะส่งผลให้ปริมาณน้ำใช้การได้ยิ่งน้อยลงและทำให้ความเสียหายจากภัยแล้งทวีความรุนแรงและจะกระทบเป็นวงกว้าง และ 7.ผลักดันแนวทางการทำคาร์บอน เครดิต ให้สามารถเชื่อมโยงกับมาตรฐานสากล และสามารถทำการค้ากับต่างประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม