นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร. ประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2567 มีแนวโน้มเติบโต 2.8-3.3% เนื่องจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยว 33 ล้านคนเพิ่มขึ้น 5 ล้านคน จากปี 2566 ส่วนการส่งออกคาดว่าจะเติบโต 2-3% และเงินเฟ้อคาดโต 1.7-2.2%

“แต่ยอมรับว่ามีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยปีหน้าจะโตได้น้อยกว่า 3% ซึ่งถือว่าเติบโตได้ตามศักยภาพเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน เพราะต้องเผชิญทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทั้งสหรัฐและยุโรปที่ชะลอตัวจากภาวะการเงินตึงตัวต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตไม่ถึง 5% เนื่องจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ และความเปราะบางในประเทศ เช่น หนี้ครัวเรือน หนี้ของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รวมถึงผลกระทบต่อการเข้าถึงสินเชื่อในระบบจากการเริ่มใช้มาตรการการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ”

สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโตได้ต่ำกว่าที่คาด เห็นได้จาก 9 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย. 2566) เติบโตได้เพียง 1.9% จากภาวะเศรษฐกิจในประเทศยังเปราะบาง นักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำกว่าเป้าหมาย การส่งออกที่ยังชะลอตัว ประกอบกับเศรษฐกิจโลกปี 2567 ยังมีแนวโน้มชะลอตัวเช่นกัน

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจปี 2567 ที่กกร. ประมาณการเติบโตไว้ 2.8-3.3% ภายใต้นโยบายรัฐบาลที่ดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเงินดิจิทัล วอลเล็ต วงเงิน 5 แสนล้านบาท ซึ่งจะมีส่วนช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจได้ประมาณ 1-1.5%

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ไทยต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน เน้นการเจรจาเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ดึงดูดการลงทุน การเข้าสู่สังคมสูงวัย ดูแลต้นทุนพลังงาน โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าเดือนม.ค.-เม.ย. 2567 ที่เห็นว่ารัฐควรจะตรึงไว้ที่เฉลี่ย 3.99 บาท/หน่วยไว้ก่อน และให้พิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการร่วมรัฐเอกชน (กรอ.) ด้านพลังงานเพื่อปรับโครงสร้างให้ค่าไฟฟ้ามีเสถียรภาพ

“ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 17% เป็นต้นทุนค่าไฟมากน้อยในแต่ละอุตสาหกรรมต่างกันไปตามปริมาณการใช้ไฟ แต่ยอมรับว่าต้นทุนค่าไฟที่เพิ่มจะทำให้ราคาสินค้าภาพรวมปรับขึ้น 5-10% และกระทบต่อค่าครองชีพประชาชน แต่หากขึ้นเป็น 4.20 บาท/หน่วย จะกระทบต้นทุนเพิ่ม 5% ราคาสินค้าจะขยับขึ้นประมาณ 2-4%”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน