นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ที่ผ่านมา ตนได้พบหารือกับนายดักลาส อเล็กซานเดอร์ รัฐมนตรีการค้าของสหราชอาณาจักร และได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่แน่นแฟ้น (Enhanced Trade Partnership: ETP) โดยงานจัดขึ้นที่โรงแรมคอร์ทยาร์ด บาย แมริออท กรุงเทพฯ ประเทศไทย

ทั้งนี้ ในระหว่างหารือร่วมกับรัฐมนตรีการค้าของสหราชอาณาจักรตนได้หยิบยกประเด็นเรื่องนโยบายสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ให้ฝ่ายสหราชอาณาจักรได้รับทราบ เช่น การลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาสให้กับประชาชน การสร้างความสมดุลระหว่างผู้บริโภค เกษตรกร และผู้ประกอบการ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก การปรับปรุงข้อกฎหมายที่ล้าสมัย การเพิ่มการส่งออก การเร่งเจรจาจัดทำ FTA ใหม่ๆ ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จาก FTA ที่มีอยู่การพานักธุรกิจไทยบุกต่างประเทศ การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และการพัฒนาระบบโลจิสติกส์

นอกจากนี้ ยังได้หารือความเป็นไปได้ในการเจรจาเอฟทีเอระหว่างไทยและสหราชอาณาจักร ซึ่งภาคธุรกิจของทั้งสองฝ่ายก็สนับสนุนการเริ่มเจรจาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งการขยายการค้าระหว่างกัน ผ่านการจับคู่เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ โดยเฉพาะในสินค้าศักยภาพของไทย เช่น ไก่แปรรูป ยานยนต์และชิ้นส่วน จักรยานยนต์และชิ้นส่วน และเครื่องจักรกล รวมทั้งได้เชิญชวนให้นักธุรกิจสหราชอาณาจักรมาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง ซึ่งจะช่วยปรับโครงสร้างการส่งออกของไทยให้ทันสมัย เพิ่มการค้าการลงทุนในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง และการจ้างงาน

“การพบหารือในครั้งนี้ยังเป็นก้าวสำคัญของการยกระดับความสัมพันธ์ทางทางการค้าของไทยกับสหราชอาณาจักร โดยการร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ครั้งนี้ว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่แน่นแฟ้น และรับรองแผนปฏิบัติการที่ระบุถึงกิจกรรมความร่วมมือที่สองฝ่ายจะดำเนินร่วมกันใน 20 สาขาสำคัญ อาทิ เกษตร อาหาร ดิจิทัล การศึกษา การท่องเที่ยว แสดงถึงความมุ่งมั่นในระดับการเมืองของทั้งสองฝ่ายที่จะขยายความร่วมมือในเรื่องการค้าและการลงทุนอย่างรอบด้าน ทั้งในเวทีสองฝ่ายและในเวทีระหว่างประเทศ โดยจะเป็นประโยชน์ต่อไทยในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในสาขาที่สหราชอาณาจักรมีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะประเด็นการค้าใหม่ๆ เช่น การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล การพัฒนาอย่างยั่งยืน บริการทางการเงิน การแข่งขัน และการท่องเที่ยว รวมถึงการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนต่อภาคธุรกิจ และยังจะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการเจรจาเอฟทีเอระหว่างกันในอนาคตด้วย”

สำหรับสหราชอาณาจักรปัจจุบันเป็นคู่ค้าอันดับ 22 ของไทยในตลาดโลก และเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทยในภูมิภาคยุโรป (รองจากเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์และเนเธอร์แลนด์) ในปี 2566 มีมูลค่าการค้ารวมระหว่างกัน 6,740.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยได้เปรียบดุลการค้า 1,405.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่าการส่งออกรวม 4,073.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น ไก่แปรรูป รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ และอากาศยาน ยานอวกาศ และส่วนประกอบ ขณะที่มีมูลค่าการนำเข้ารวม 2,667.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องดื่มประเภทน้ำแร่ น้ำอัดลมและสุรา ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม และเครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การแพทย์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน