นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) และ บจ. ไทยแอร์เอเชีย (TAA) เปิดเผยว่า ผลประกอบการประจำไตรมาส 3 ปี 2567 AAV มีรายได้รวม 15,322 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สนับสนุนด้วยจำนวนผู้โดยสารและราคาตั๋วโดยสารเฉลี่ยที่ยังคงเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของอุตสาหกรรม รวมทั้งเงินบาทที่แข็งค่ามากในระหว่างไตรมาส ส่วนต้นทุนโดยรวมทรงตัวจากปีก่อน จากราคาน้ำมันที่ลดลงและแผนปรับกลยุทธ์เน้นเส้นทางบินที่มีผลตอบแทนดี ทำให้ EBITDA เพิ่มขึ้น 355% มาอยู่ที่ 1,772 ล้านบาท รายงานกำไรสุทธิ 3,446 ล้านบาท ซึ่งพลิกจากขาดทุนสุทธิ (1,695) ล้านบาท ทั้งนี้ หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน กำไรจากการดำเนินงานหลัก จะอยู่ที่ 57 ล้านบาท ปรับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากขาดทุน (1,044) ล้านบาท

ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน สถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยยังคงปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องทั้งตลาดภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยเพิ่มจาก 7.1 ล้านคนในไตรมาส 3 ของปีก่อน มาอยู่ที่ 8.6 ล้านคนในปีนี้ ซึ่ง 40% เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน มาเลเซีย และอินเดีย

อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา อาจมีช่วงชะลอตัวจากนอกฤดูกาลท่องเที่ยวบ้าง โดยไตรมาสนี้ TAA ขนส่งผู้โดยสารรวม 4.9 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคงอัตราขนส่งผู้โดยสารในระดับสูงที่ 90% ราคาตั๋วเฉลี่ยภายในและระหว่างประเทศอยู่ที่ 1,847 บาท เติบโต 7% เช่นกัน รวมทั้งรับเครื่องบินแอร์บัส A321neo เพิ่ม 2 ลำ ทำให้มีฝูงบินรวม 59 ลำ ณ สิ้นไตรมาส

สำหรับตลาดภายในประเทศ TAA ยังรักษามาตรฐานการให้บริการได้ดี โดยมีส่วนเเบ่งการตลาดอันดับหนึ่งที่ 39% และอัตราขนส่งผู้โดยสารสูงถึง 93% แม้จะเป็นนอกฤดูท่องเที่ยวและเกิดน้ำท่วมหนักในหลายจังหวัดทางภาคเหนือของไทยในช่วงเดือนก.ย.ที่ผ่านมา

สำหรับตลาดระหว่างประเทศ TAA มีอัตราการขนส่งผู้โดยสารที่ 84% โดยได้ปรับเครือข่ายเส้นทางบินระหว่างประเทศในหลายเส้นทางเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนเพื่อเน้นทำการบินในเส้นทางที่มีผลตอบแทนที่ดี พร้อมเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินไปยังประเทศจีน อินเดีย

“เมื่อคิดเป็นต่อหน่วยแล้ว รายได้ต่อปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (RASK) อยู่ที่ 1.82 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สะท้อนถึงภาวะของอุตสาหกรรมที่ยังคงมีจำนวนเครื่องบินให้บริการที่ค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับความต้องการท่องเที่ยว ส่วนต้นทุนต่อปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสารที่ไม่รวมต้นทุนน้ำมัน (CASK ex-fuel) อยู่ที่ 1.19 บาท เพิ่มขึ้นเพียง 1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากฐานต้นทุนในปีก่อนที่สูงและการรักษาระดับต้นทุนต่อหน่วยให้เพิ่มช้ากว่ารายได้ แม้ในแง่ทางการเงินเราทำได้ค่อนข้างดีโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่การบริหารจัดการเครื่องบินยังคงมีความท้าทายหลายประการ โดยปัจจุบันเราทำการปฏิบัติการบินด้วยเครื่องบินจำนวน 50 ลำ จากฝูงบินทั้งหมด 59 ลำ ซึ่งมีส่วนทำให้อัตราความตรงต่อเวลาของเราลงมาอยู่ที่ 83% ซึ่งจะต้องเร่งนำเครื่องบินกลับมาปฏิบัติการบินให้ได้มากที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบต่อการเดินทางและมาตรฐานความตรงต่อเวลาระดับสูงของสายการบิน”

ทั้งนี้ จากการที่บริษัทเติบโตได้ตามเเผน ทำให้สรุปรวม 9 เดือนเเรก ปี 2567 AAV มีรายได้รวม 38,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน EBITDA อยู่ที่ 6,775 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% และรายงานกำไรสุทธิที่ 3,121 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ (2,348) ล้านบาท ในช่วงเดียวกันปีก่อน (กำไรจากการดำเนินงานหลักอยู่ที่ 1,552 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน (1,035) ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน) โดยขนส่งผู้โดยสารรวม 15.3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 11% และอัตราขนส่งผู้โดยสารอยู่ที่ 91%

“ยิ่งได้รับเเรงสนับสนุนจากไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยวทั้งเส้นทางบินภายในประเทศและระหว่างประเทศ จึงเชื่อมั่นว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีของบริษัท ทั้งด้านผลประกอบการจากรายได้การขายและบริการที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 20-23% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนยอดผู้โดยสารตลอดทั้งปีคาดเป็นไปตามเป้าหมายที่ 20-21 ล้านคน พร้อมเตรียมรับเครื่องบินลำใหม่เพิ่มอีก 1 ลำในเดือนนี้ รวมเป็นฝูงบิน 60 ลำ ณ สิ้นปี และกลับมาขยายฝูงบินในระดับปกติต่อเนื่องในปีหน้า พลิกฟื้นผลการดำเนินงานกลับมาเป็นสายการบินที่เติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป” นายสันติสุขกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน