ในแต่ละปีชาวนาไทยใช้พื้นที่เพาะปลูก “ข้าว” ทั้งหมดประมาณ 60-70 ล้านไร่ ชาวนาส่วนใหญ่เป็นรายย่อยถือครองที่ดินไม่เกิน 20 ไร่ต่อครัวเรือน ผลผลิตโดยรวมจะมีประมาณ 30-33 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ ประมาณ 20-22 ล้านตันข้าวสารในจำนวนนี้จะใช้บริโภคภายในประเทศประมาณ 10 ล้านตันที่เหลือประมาณ 8-10 ล้านตันส่งออก

ผลผลิตข้าวต่อไร่ของไทยโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 400-500 กิโลกรัมต่อไร่ จากต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 5,000-5,500 บาทต่อไร่ถือว่าผลผลิตน้อยมากเมื่อเทียบกับเวียดนาม ที่มีผลผลิตเฉลี่ยที่ 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ จีน 1,000-1,200 กิโลกรัมต่อไร่

นายอานนท์ นนทรีย์ รองอธิบดีกรมการข้าว ให้สัมภาษณ์น.ส.พ.ข่าวสด ไว้ว่า เฉพาะเรื่องของผลผลิตต่อไร่ และต้นทุนการผลิตถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายกรมการข้าวมายาวนาน เรื่องต้นทุนผลิตและผลผลิตต่อไร่ของชาวนาไทย ต้องให้ความเป็นธรรมกับกรมการข้าวด้วย เพราะหากมองในแง่ของความหลากหลายพันธุกรรมข้าวไทย จะเห็นว่าข้าวบางพันธุ์ เช่นข้าวขาวพื้นแข็งก็ให้ผลผลิตต่อไร่ 1,000-1,200 กิโลกรัมเช่นกัน

รายงานพิเศษ

นายอานนท์ นนทรีย์

 

แต่หากนำมาหารเฉลี่ยกับข้าวพื้นนุ่มที่เป็นข้าวไวแสง ปลูกได้ปีละครั้งอย่างข้าวหอมดอกมะลิที่ให้ผลผลิตต่อไร่ที่ 350-400 กิโลกรัม หรือโดยรวมแล้วให้ผลผลิตเพียง ประมาณ 2-3 ล้านตัน นั้นทำให้อัตราเฉลี่ยผลผลิตข้าวไทยลดลง

ยกข้าวหอมมะลิเทียบ “แอร์เมส คือ น้อยแต่มาก”

แต่คุณสมบัติของข้าวหอมดอกมะลิ ที่มีความหอม ความนุ่มเป็นจุดแข็ง ซึ่งความโดดเด่นนี้ได้มาจากพื้นที่ปลูกที่มีความแห้งแล้ง ในภาคอีสานและภาคเหนือบางจังหวัด ซึ่งทั่วประเทศ ไทยปลูกข้าวได้บางพื้นที่รวมแล้วเพียง 23 จังหวัดเท่านั้น หากปีไหนมีความแห้งแล้งก็ยิ่งบีบคั้นให้ข้าวมีความหอมยิ่งขึ้น แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยผลผลิตต่อไร่ที่ต่ำ

รายงานพิเศษ

“ข้าวหอมมะลิ” เป็นข้าวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อยกระดับเพิ่มมูลค่าข้าว กรมการข้าวเห็นว่าควรจัดแผนการตลาดใหม่ โดยเริ่มจากการแยกประเภทข้าว แยกตลาดแล้วจัดโซนนิ่งปลูกข้าวตามความต้องการของตลาด

ดังนั้นข้าวที่มีผลผลิตน้อย แต่ความต้องการของตลาดสูง อย่างเช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวสี ข้าวกล้อง ข้าวเฉพาะถิ่น มีผลผลิตรวมทั้งประเทศประมาณ 5-10% มีผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มต้องการ ข้าวที่ผลผลิตน้อยเหล่านี้จะสร้างคุณค่าให้เหมือนสินค้าแอร์เมส คือ “น้อยแต่มาก” เจาะขายในตลาดบนที่มีกำลังซื้อสูง ส่วนข้าวพื้นแข็ง และข้าวขาว ข้าวแมส ที่ปลูกในภาคกลาง ก็ขายในตลาดทั่วไป ซึ่งศักยภาพของไทยสามารถแข่งขันได้

รายงานพิเศษ

✦ เล็งผนึกททท.-พาณิชย์โปรโมตข้าวสี

ส่วนของข้าวสี ขณะนี้กลุ่มผู้บริโภคตลาดจีนนิยมมาก เนื่องจากมีสารบางชนิดที่ดีต่อสุขภาพ แต่หากินยาก เนื่องจากการส่งออกมีน้อยและราคาแพงมากในตลาดต่างประเทศ ดังนั้น นักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในประเทศไทย และจึงนิยมเลือกบริโภคข้าวสีมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้กรมการข้าวอยู่ระหว่างประสานกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อเชื่อมโยงกับร้านอาหารต่างๆ ส่งเสริมให้ใช้ข้าวสีในกลุ่มนักท่องเที่ยวมากขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าและประชาสัมพันธ์ข้าวไทย

รายงานพิเศษ

การส่งเสริมการปลูกข้าวเพื่อบริโภคในประเทศและการส่งออกทำกันมานานหลายปี แต่ชาวนาไทยก็ยังยากจนขณะที่พ่อค้า โรงสี ก็รวยเอา รวยเอา ดังนั้นกรมการข้าวก็จะทำงานให้ละเอียดขึ้น มุ่งพัฒนาและคิดนอกกรอบ ให้การปลูกข้าวไม่ใช่เพียงแค่บริโภคเมล็ดเท่านั้น แต่สามารถแตกไลน์เพื่อการท่องเที่ยว เพื่อการผลิตอาหารสัตว์ เครื่องสำอาง และอีกมากมายที่ยังมีการวิจัยและต่อยอดกันอย่างต่อเนื่อง

✦ ผุดข้าวเรนโบว์แลนด์มาร์กใหม่ที่จ.พะเยา

ล่าสุดในปี 2567 กรมการข้าวได้นำข้าวสีจำนวน 7 สายพันธุ์ มาปลูกในแปลงเดียวกัน เป็นข้าวเรนโบว์ โดยข้าวสีทั้ง 7 สายพันธุ์มีหลากหลายสี อาทิ ม่วงเข้ม ม่วงอ่อน ขาว เขียวอ่อน เขียวเข้ม เป็นต้น ไปปลูกในจังหวัดเชียงราย จัดแปลงเป็นรูปแมวแปลกตา และในปีนี้ปลูกในจังหวัดพะเยา จัดแปลงเป็นไดโนเสาร์ รูปน้องมัดใจ (Mascot นกยูง) สร้างหอชมวิว ทางเดินให้เข้าชม กลายเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญสำหรับการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่

รายงานพิเศษ

นอกจากนี้ กรมการข้าวยังมีการวิจัยต่อยอดแปลงข้าวสีที่ทำขึ้นเพื่อการท่องเที่ยว พบว่าใบของข้าวสีพันธุ์ต่างๆ มีโปรตีนสูง และมีเอกชนสนใจรับซื้อใบข้าวสีต่างๆ นั้น ในราคาสูง โดยใบข้าวสามารถนำไปอบแห้งขายกิโลกรัมละ 50 บาท โดยข้าว 1 ไร่ จะเก็บใบสดได้ประมาณ 2,000 กิโลกรัม เมื่อนำไปอบแห้งจะเหลือประมาณ 1,000 กิโลกรัม เกษตรกรจะมีรายได้เพิ่มจากส่วนนี้ประมาณ 4 หมื่นบาทต่อไร่ ซึ่งสูงกว่าขายข้าวเพื่อบริโภคอย่างมาก

✦ อบใบข้าวขาย4หมื่นบาท/ไร่

สำหรับใบข้าวอบแห้งเอาใบสกัดได้ โปรตีนที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอาหารเชิงสุขภาพ และแพลนต์ เบส ฟู้ด (Plant based food) และสามารถนำข้าวสีเหล่านี้ไปสกัดเป็นโปรตีนไฮโดรไลเสต ซึ่งซื้อขายในตลาดราคากิโลกรัมละ 1 แสนบาท เป็นอย่างน้อย โปรตีนไฮโดรไลเสต จีนและญี่ปุ่นให้ความสนใจมาก

รายงานพิเศษ

เพื่อยืนยันว่าการทำนาปลูกข้าว ไม่จำเป็นต้องมีเป้าหมายเพื่อใช้บริโภคเพียงอย่างเดียว แต่การปลูกข้าวสีบางสายพันธุ์ ที่มีโปรตีนสูง สามารถใส่จุลินทรีย์บางชนิด แล้วเก็บเกี่ยวก่อนที่ข้าวจะออกรวง ม้วนและมัดขายได้เลย เพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์ ใช้เวลาปลูก ประมาณ 4 เดือน ขายได้แพงกว่าเพื่อบริโภค

ปัจจุบันการทำนาต้องคำนึงถึงกระแสความต้องการความยั่งยืนของโลกด้วย กรมการข้าวจึงร่วมกับกรมชลประทานเพื่อทำนายั่งยืนด้วยวิธีการเปียกสลับแแห้งซึ่งผลพิสูจน์ออกมาแล้วว่าสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ และลดการปล่อยก๊าซมีเทน 30-40% ลดการใช้น้ำได้ถึง 50% เหมาะสำหรับปลูกในเขตชลประทาน พื้นที่นาปรังที่สามารถวางแผนการให้น้ำได้ ภายหลังการเก็บเกี่ยว จะส่งเสริมให้เกษตรกรใช้จุลินทรีย์เพื่อสลายตอซังใน 14 วัน กลายเป็นปุ๋ยเป็นอีกวิธีการเพื่อลดการเผา

รายงานพิเศษ

กรมการข้าวยังอยู่ระหว่างการวิจัยจุลินทรีย์ชนิดใหม่ ที่กินก๊าซมีเทนเป็นอาหาร หากประสบผลสำเร็จผลผลิตข้าวที่ได้จะเป็นที่ต้องการของตลาด อีกทั้งยังขายคาร์บอนเครดิต เป็นอีก 1 รายได้ของเกษตรกร โดยกรมการข้าวจะประสานกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) จำกัด หรือ อบก. เพื่อประทับตราสัญลักณ์เป็นข้าวคาร์บอนต่ำ อีกด้วย

หนุนศูนย์ข้าวชุมชนสร้างโรงอบเพิ่มราคาข้าว

อย่างไรก็ตาม กรมการข้าวยังส่งเสริมให้ศูนย์ข้าวชุมชน ที่มีอยู่กว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศ สร้างโรงอบข้าว เพื่อลดความชื้นที่เกษตรกรนิยมเกี่ยวแล้วขายสด ทำให้โรงสีกดราคาที่ควรได้รับ ในขณะที่ข้าวสดจะอยู่ได้เพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้เกษตรกรต้องรีบขาย หากมีโรงอบขนาดเล็กหรือโรงอบชุมชน การนำมาเข้าอบลดความชื้นก่อน จะส่งผลให้เกษตรกรขายข้าวได้ในราคาที่สูงขึ้น จากราคาข้าวสดจะขายได้ 10-11 บาทต่อกิโลกรัม ข้าวอบแห้งแล้วขายได้ 14-15 บาทต่อกิโลกรัม

รายงานพิเศษ

ปัจจุบัน ศูนย์ข้าวชุมชนที่มีศักยภาพได้ติดตั้งโรงอบลดความชื้นไปบ้างแล้ว ทำให้กลุ่มเกษตรกรมีความเข้มแข็งมากขึ้น แนวทางของกรมการข้าวเหล่านี้ จะส่งผลให้ชาวนาหนีจากกลุ่มที่มีรายได้ต่ำสุดของประเทศ เนื่องจากมีอีกหลายทางเลือกที่จะเพิ่มรายได้ แต่ต้องปรับวิถีชีวิตและเป้าหมายใหม่ให้ตรงกับความต้องการของตลาด เป็นมิติของชาวนาที่ยั่งยืน

สำหรับปีการเพาะปลูก 2567/68 พบว่า ช่วงต้นฤดูการปลูกเกิดอุทกภัยขึ้น 58 จังหวัด มีพื้นที่ปลูกเสียหาย 1.4 ล้านไร่ หรือประมาณ 6.3 ล้านตัน ถือว่าเป็นอัตราส่วนที่ไม่มากนักและไม่ได้ส่งผลกระทบกับผลผลิตข้าวที่ออกสู่ตลาดในช่วงนี้โดยยังมีผลผลิตโดยรวมที่ 30 ล้านตันข้าวเปลือก

ในขณะที่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบนั้นได้รับการเยียวยาจากทางรัฐบาล และกรมการข้าวได้ให้การช่วยเหลือด้านปัจจัยการผลิต

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน