นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จะมีการลงนาม FTA ไทย – EFTA ซึ่งเป็น FTA ฉบับแรกที่ไทยทำกับกลุ่มประเทศในยุโรป ในวันที่ 23 ม.ค. 2568 ที่การประชุม World Economic Forum ดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ทำให้ไทยมี FTA ทั้งหมด 16 ฉบับ กับ 23 ประเทศ เขตเศรษฐกิจ
การเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association: EFTA) ประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ ได้แก่ 1. สวิตเซอร์แลนด์ 2. นอร์เวย์ 3. ไอซ์แลนด์ และ 4. ลิกเตนสไตน์ สามารถสรุปการเจรจาได้ 15 เรื่อง ถือเป็น FTA สมัยใหม่ที่ข้อตกลงมีความครอบคลุมอย่างรอบด้านนอกเหนือไปจากประเด็นการค้าและการลงทุน โดยเป็นข้อตกลงที่มีมาตรฐานสูง สอดคล้องกับการพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นแต้มต่อให้ผู้ประกอบการไทยในการประกอบธุรกิจและปูทางสำหรับการเจรจา FTA กับคู่ค้าสำคัญอื่นๆ เช่น สหภาพยุโรป ในอนาคต
ในช่วง 11 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-พ.ย.) ไทยและ EFTA มีมูลค่าการค้ารวม 11,467.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ 2.05 ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลก) ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 24.94 โดยไทยส่งออกไปยัง EFTA 4,121.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และนำเข้าจาก EFTA 7,345.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. อัญมณีและเครื่องประดับ 2. นาฬิกาและส่วนประกอบ 3. เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 4. อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และ 5. เครื่องใช้สำหรับเดินทาง และสินค้านำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. เครื่องเพชรพลอยอัญมณี เงินแท่งและทองคำ 2. นาฬิกาและส่วนประกอบ 3. เนื้อสัตว์สำหรับการบริโภค 4. ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม และ 5. ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์
การเจรจาจัดทำ FTA จะช่วยเพิ่มพันธมิตรทางการค้าใหม่ๆ ลดอุปสรรคทางการค้า สร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดการค้าการลงทุนจากต่างชาติ ยกระดับมาตรฐาน สร้างความได้เปรียบและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทยในการส่งออก เพิ่มบทบาทของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลก และสนับสนุนให้ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของภูมิภาค รวมถึงกระชับความสัมพันธ์และสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า การเจรจา FTA ถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ โดยในปี 2568 นายพิชัย สั่งการให้เร่งรัดการเจรจา FTA อีกหลายฉบับ อาทิ FTA ไทย-สหภาพยุโรป (EU) / ไทย-เกาหลีใต้ / ไทย-ภูฏาน / ไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) / อาเซียน-แคนาดา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจ และการส่งออกของไทย รวมถึงให้เร่งจัดทำความร่วมมือเพื่อนำไปสู่การเจรจา FTA ในอนาคตกับประเทศคู่ค้าศักยภาพ ได้แก่ ไทย-สหราชอาณาจักร / ไทย-ยูเรเซีย (Eurasian Economic Union: EAEU) ซึ่งประกอบด้วย 5 ประเทศ ได้แก่ 1. รัสเซีย 2. เบลารุส 3. คาซัคสถาน 4. อาร์เมเนีย และ 5. คีร์กีซสถาน
รวมทั้งเดินหน้ายกระดับ FTA ที่ไทยมีอยู่แล้ว อาทิ ความตกลง FTA ไทย-เปรู / ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) / FTA อาเซียน-จีน/ FTA อาเซียน-อินเดีย/ FTA อาเซียน-เกาหลีใต้ ให้ความตกลงมีความทันสมัย สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน ตอบโจทย์การอำนวยความสะดวกทางการค้าของผู้ประกอบการ
ในช่วง 10 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-ต.ค.) ไทยมีมูลค่าการค้ากับโลก 507,547 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการค้ารวมกับประเทศคู่ FTA มีมูลค่า 299,345 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 59 ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของไทย การส่งออกไปประเทศคู่ FTA มีมูลค่า 143,635 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 2.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 57.4 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทยและการนำเข้าจากประเทศคู่ FTA มีมูลค่า 155,710 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 4.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60.6 ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมดของไทย
นอกจากนี้ ในปี 2567 (ม.ค.-ต.ค.) มีการส่งออกโดยขอใช้สิทธิ FTA มูลค่า 69,707.10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ร้อยละ 1.11 และคิดเป็นสัดส่วนการขอใช้สิทธิฯ ร้อยละ 84.57 ของการส่งออกสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ ทั้งหมด