นายธานินทร์ พานิชชีวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้บริหารจัดการทางยกระดับดอนเมืองแบบครบวงจร ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ภายใต้สัญญาสัมปทานทางหลวงในทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 ถนนวิภาวดี-รังสิต รวมระยะทาง 21 ก.ม. ประกอบด้วยช่วงดินแดง-ดอนเมือง ระยะทาง 15.4 ก.ม. และช่วงดอนเมือง-อนุสรณ์สถานแห่งชาติ ระยะทาง 5.6 ก.ม. อย่างไรก็ดีโครงการทางยกระดับดอนเมือง ภายใต้สัญญาสัมปทานปัจจุบันที่จะหมดลงในวันที่ 11 ก.ย. 2577 นั้น บริษัทในฐานะที่มีประสบการณ์ในการบริหารโครงการมานานกว่า 30 ปี บริษัทจึงมั่นใจว่าจะได้รับความไว้วางใจและได้รับคัดเลือกจากกรมทางหลวงในการบริหารโครงการทางยกระดับดอนเมืองเช่นเดิม

อีกทั้งในปี 2564-2565 บริษัทยังมีงานที่รอการประมูลจากกรมทางหลวงอีกประมาณ 5 โครงการ ได้แก่ โครงการ M9 บางขุนเทียน-บางบัวทอง 38 กิโลเมตร มูลค่าโครงการ 64,848 ล้านบาท, โครงการ M8 นครปฐม-ชะอำ ระยะทาง 119 กิโลเมตร มูลค่าโครงการ 79,006 ล้านบาท, โครงการ M82 บางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ระยะทาง 25 กิโลเมตร มูลค่าโครงการ 48,310 ล้านบาท, โครงการทางพิเศษกระทู้-ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ระยะทาง 44 กิโลเมตร มูลค่าโครงการ 14,177 ล้านบาท และโครงการ M5 รังสิต-บางปะอิน ระยะทาง 18 กิโลเมตร มูลค่าโครงการ 39,956 ล้านบาท ซึ่งเกือบทุกโครงการจะคัดเลือกเอกชนในปี 2564 นี้

ด้านนายวรวัสส์ วัสสานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อวานการ์ด แคปปิตอล จํากัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุมัติแบบคำขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวนไม่เกิน 140 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 11.85% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นในครั้งนี้

ขณะที่ทุนจดทะเบียนของบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่ 6,142.4 ล้านบาท แบ่งเป็นทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 5,414.4 ล้านบาท และมีจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วก่อนการเสนอขาย ไอพีโอทั้งหมด 1,041.2 ล้านหุ้น และคาดว่า DMT จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้วันที่ 7 พ.ค. นี้ ซึ่งกรอบราคาจะมีการสำรวจความต้องการซื้อของนักลงทุนสถาบัน โดยผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ (อันเดอร์ไรท์เตอร์)

ส่วนเป้าหมายในการระดมทุนครั้งนี้ของ DMT เพื่อไปชำระคืนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยระยะยาวประมาณ 1,354 ล้านบาท, คืนหนี้ดอกเบี้ยระยะสั้น 330 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้อัตราหนี้สินต่อทุนลดลงจากสิ้นปี 2563 ที่อยู่ระดับ 0.4 เท่า และเงินที่ได้บางส่วนจะใช้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน สำหรับการลงทุนโครงการใหม่ๆ ที่ภาครัฐเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน